ปลูกฝังลูกให้เก่งภาษาอังกฤษอย่างเป็นธรรมชาติด้วย
Jolly
Phonics
ปัจจุบัน
การปลูกฝังเด็กสองภาษานับเป็นกระแสที่มาแรงขึ้นเรื่อยๆ
และยิ่งเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ AEC
หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปลายปี 2558 แล้วด้วย
คุณพ่อคุณแม่ต่างก็หวังที่จะเห็นเด็กๆ
สามารถก้าวสู่ความสำเร็จทั้งทางด้านการศึกษาและอาชีพการงานในยุค AEC ยุคที่ภาษาอังกฤษจะกลายเป็นภาษาหลักในการสื่อสารเต็มรูปแบบ
การเริ่มต้นเรียนรู้ภาษาอังกฤษตั้งแต่ในช่วงปฐมวัยมีส่วนช่วยให้เด็กๆ
ได้คุ้นเคยกับภาษาที่สองยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี
การพัฒนาจะมากน้อยหรือช้าเร็วอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับครูผู้สอน
หลักสูตรวิธีการสอน และรวมถึงการสนับสนุนการเรียนรู้นอกห้องเรียนอีกด้วย วันนี้
คุณ Emma
Paul อาจารย์อาวุโส แผนกหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับเด็กนักเรียน ของบริติช เคานซิล จะมาพูดคุยถึง Jolly
Phonics หนึ่งในหลักสูตรการสอนจากสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นที่ยอมรับถึงประสิทธิภาพในการช่วยให้เด็กๆ
เรียนรู้ อ่านออกและเขียนได้ตั้งแต่ยังเล็กอย่างเป็นธรรมชาติ
Jolly Phonics คืออะไร และทำไมการสอนแบบ Jolly Phonics จึงเหมาะสมกับเด็กไทย
Jolly Phonics เป็นหนึ่งในวิธีการสอนภาษาอังกฤษที่ให้ผลสำเร็จเป็นอย่างสูง ด้วยวิธีกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองอย่างเป็นระบบ ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การฟังและอ่านออกเสียงอย่างเป็นธรรมชาติแทนวิธีการท่องจำ
Jolly Phonics เป็นหนึ่งในวิธีการสอนภาษาอังกฤษที่ให้ผลสำเร็จเป็นอย่างสูง ด้วยวิธีกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองอย่างเป็นระบบ ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การฟังและอ่านออกเสียงอย่างเป็นธรรมชาติแทนวิธีการท่องจำ
เด็กๆ
จะได้เรียนรู้รหัสเสียงหลักของภาษาอังกฤษโดยเชื่อมโยงกับตัวอักษรทั้ง 26 ด้วยกิจกรรมเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ
ทำให้เด็กๆ ซึมซับและเข้าใจวิธีผสมเสียงเป็นคำและการออกเสียง
นำไปสู่การสะกดคำและเขียนตัวอักษรได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง
จากประสบการณ์กว่า 10 ปี
ในการสอนภาษาอังกฤษในประเทศแถบยุโรป อเมริกาใต้ และในประเทศไทย ดิฉันพบว่า
วิธีการสอนโดยเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษรแบบ Jolly Phonics เหมาะสมกับการเรียนและการฝึกออกเสียงของเด็กเล็กที่เรียนภาษาอังกฤษในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักอย่างเด็กไทย
ช่วยการสร้างพื้นฐานภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องและพร้อมต่อยอดการเรียนรู้ต่อไปได้อย่างง่ายดาย
และบริติช เคานซิลเองก็ได้เลือกให้ Jolly Phonics เป็นแนวการสอนหลักของคอร์สเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กของเรา
หลักการ
แนวคิด เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย
กีเซล (Gesell)
• พัฒนาการของเด็กเป็นไปอย่างมีแบบแผนและเป็นขั้นตอน
เด็กควรพัฒนาไปตามธรรมชาติไม่ควรเร่งหรือบังคับ
• การเรียนรู้ของเด็กเกิดขึ้นจากการ
การเคลื่อนไหว การใช้ภาษา การปรับตัวเข้าสังคมกับบุคคลรอบข้าง
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• จัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
• ให้เด็กได้เล่นกลางแจ้ง
• จัดกิจกรรมสร้างสรรค์ ฝึกการใช้มือและ
ประสาทสัมพันธ์มือกับตา
• จัดกิจกรรมให้เด็กได้ฟัง
ได้พูดท่องคำคล้องจอง ร้องเพลง ฟังนิทาน
• จัดให้เด็กทำกิจกรรมเดี่ยวและกิจกรรมกลุ่ม
ฟรอยด์ (Freud)
ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่อบุคลิกภาพ
ของคนเราเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หากเด็กไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ
จะเกิดอาการชะงัก พฤติกรรมถดถอย คับข้องใจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• ครูเป็นแบบอย่างที่ดี
ทั้งการแสดงออก ท่าทีวาจา
• จัดกิจกรรมเป็นขั้นตอน
จากจ่ายไปหายาก
• จัดสิ่งแวดล้อมที่บ้านและโรงเรียนเพื่อส่งเสริมพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก
อีริคสัน (Erikson)
• ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เด็กพอใจ
ประสบผลสำเร็จ เด็กจะมองโลกในแง่ดี มีความเชื่อมั่นและไว้วางใจผู้อื่น
• ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี
ไม่พอใจจะมองโลกในแง่ร้าย ขาดความเชื่อมั่นในตนเองและไม่ไว้วางใจผู้อื่น
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• จัดกิจกรรมให้เด็กได้ประสบผลสำเร็จ
พึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมของห้องเรียน เพื่อนครู
• จัดบรรยากาศในห้องเรียน
ให้เด็กมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อสภาพแวดล้อม ครูและเพื่อน ๆ
เพียเจท์ (Piaget)
• พัฒนาการทางด้านเชาว์ปัญญาของเด็กเกิดจากการที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมรอบ
ๆ ตัวเด็ก มีการรับรู้จากสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
และมีการปรับขยายประสบการณ์เดิม ความคิดและความเข้าใจให้ขยายมากขึ้น
• พัฒนาการของเด็กปฐมวัย (0 – 6 ปี)
1.ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหววัย 0
– 2 ปี เด็กเรียนรู้ทุกอย่างทางประสาทสัมผัสทุกด้าน
2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการวัย 2
– 6 ปี
เริ่มเรียนภาษาพูดและภาษาท่าทางในการสื่อสารยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
คิดหาเหตุผลไม่ได้จัดหมวดหมู่ได้ตามเกณฑ์ของตนเอง
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• จัดกิจกรรมให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัส
ทั้ง 5
• จัดให้เด็กฝึกฝนทักษะ การสังเกต
การจำแนก เปรียบเทียบ
• จัดกิจกรรมให้เด็กมีโอกาสคิดหาเหตุผลเลือก
และตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
• จัดให้เด็กได้เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวไปสู่เรื่องไกลตัว
และมีลักษณะที่เป็นรูปธรรม
ดิวอี้ (Dewey)
• เด็กเรียนรู้โดยการกระทำ
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• จัดกิจกรรมให้เด็กได้ประสบผลสำเร็จพึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมของห้องเรียนเพื่อน
ครู
• จัดบรรยากาศในห้องเรียน
ให้เด็กมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อสภาพแวดล้อม ครูและเพื่อน ๆ
สกินเนอร์ (Skinner)
• ถ้าเด็กได้รับการชมเชย และประสบผลสำเร็จในการทำกิจกรรม
เด็กสนใจที่ทำต่อไป
• เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน
ไม่มีใครเหมือนใคร
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• ให้แรงเสริม เช่น ชมเชย ชื่นชม
เมื่อเด็กทำกิจกรรมประสบผลสำเร็จ
• ไม่นำเด็กมาเปรียบเทียบแข่งขันกัน
เปสตาลอสซี่ (Pestalozzi)
• ความรักเป็นพื้นฐานสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาเด็ก
ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา
• เด็กแต่ละคนแตกต่างกัน
ทั้งด้านความสนใจความต้องการ และระดับความสามารถในการเรียน
• เด็กไม่ควรถูกบังคับให้เรียนรู้ด้วยการท่องจำ
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• จัดกิจกรรมเตรียมความพร้อม ให้ความรักให้เวลา
และให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์
เฟรอเบล (Froeble)
• ควรส่งเสริมพัฒนาการตามธรรมชาติของเด็กด้วยการกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างเสรี
• การเล่นเป็นการทำงานและการเรียนรู้ของเด็ก
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• จัดกิจกรรมเรียนรู้ผ่านการเล่นอย่างเสรี
2. ความหมาย ประโยชน์ ของภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย
การศึกษาปฐมวัยหมายถึง
การศึกษาปฐมวัยคือการจัดการศึกษาที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการพัฒนาการในเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง8ขวบหรือชั้นประถมศึกษาปีที่3การจัดการเด็กในที่นี้รวมถึงการจัดการศึกษาทางเป็นทางการ(formal
group settings )และการจัดการศึกษาแบบไม่เป็นทางการ(informal
group settings)เพราะการเรียนรู้ของเด็กในช่วงวัยดั้งกล่าวถือเป็นรากฐานของการเรียนรู้ในอนาคต
ความสำคัญของการศึกษาปฐมวัย
ความสำคัญของการศึกษาปฐมวัยคือการที่ครูจะสอนได้ดีนั้นจำเป็นต้องศึกษาเด็ก ยิ่งกว่านั้นงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาการทางสมองมนุษย์ยั้งเน้นความสำคัญของการศึกษาปฐมวัยโดยเฉพาะในช่วงของ5 ของปีแรกของชีวิตว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้
และเด็กจำเป็นต้องได้รับการดูแล
เอาใจใส่จากพ่อแม่หรือผู้ดูแลตั้งแต่แรกเกิดโดยการให้ความรัก การโอบกอด สัมผัส
พูดคุย และเล่นกับเด็กเพื่อให้สมองของเด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ตามศักยภาพ
การเข้าใจพัฒนาเด็กส่งผลดีต่อครูผู้สอนหลายประการ ผลดีประการหนึ่งคือ
ช่วยให้ครูเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของเด็กได้ดียิ่งขึ้น ยังสามารถวางแผนหลักสูตร
การเรียนการสอนได้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนได้มากขึ้นศักยภาพ
การเข้าใจพัฒนาเด็กส่งผลดีต่อครูผู้สอนหลายประการ ผลดีประการหนึ่งคือ
ช่วยให้ครูเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของเด็กได้ดียิ่งขึ้น ยังสามารถวางแผนหลักสูตร การเรียนการสอนได้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนได้มากขึ้น
เมื่อตระหนักว่าเด็กมีความสำคัญต่อประเทศ
ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง
หรือที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อเด็กได้ปฏิบัติต่อเด็กสมกับความสำคัญของเขาหรือยัง
โดยเฉพาะพ่อแม่ ครู อาจารย์ เพราะว่าเด็กที่เจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีนั้นต้องมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีควบคู่กันไปถือว่าการอบรมเลี้ยงดูนั้นมีความสำคัญมาก
ประโยชน์ ของภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย
ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่เราไดทราบถึงการใช้ภาษาในการพูดและการเขียนและหลักในการใช้คำในการอ่านและการพูด
ทำให้สามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น
๑. ทักษะการใช้ภาษา
๒.
ลักษณะการใช้ภาษาในการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ
๓. การอ่าน และการฟัง
3. ความสำคัญของภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย
ความสำคัญของภาษาอังกฤษภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนไทย
และคนทั่วโลกไปแล้ว มนุษยชาติทุกวันนี้สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ
ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันโดยตรง การใช้อินเตอร์เน็ต การดูทีวี
การดูภาพยนตร์ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หนังสือคู่มือทางด้านวิชาการต่างๆ ฯลฯ
บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาออกมาในปัจจุบัน
ถ้ามีความรู้ภาษาอังกฤษทั้งพูดและเขียนเสริมเข้าไปด้วยอีก
โอกาสที่จะหางานก็จะไม่จำกัดแค่ในประเทศไทย เท่านั้น ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้
ท่านคงจะไม่ปฏิเสธได้ถึงสิทธิพิเศษที่ท่านมีเหนือคนอื่นที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้
ด้วยเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ทำให้โลกของเราแคบลงไปถนัดตา
ทุกวันนี้ท่านสามารถรับรู้ข่าวสาร หรือติดต่อกับเพื่อนต่างชาติได้ภายในเสี้ยววินาที
ท่านจะไม่เข้าถึงสิทธิพิเศษเหล่านี้เลย ถ้าท่านไม่รู้ภาษาอังกฤษ
ระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนของไทยหลายท่านอาจจะบอกว่า
ประเทศไทยเราก็ให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งนานแล้ว
แต่ทำไมคนไทยถึงพูดภาษาอังกฤษสู้คนฟิลิปปินส์ไม่ได้เลย นั่นก็เพราะว่าหลักสูตรภาษาอังกฤษของกระทรวงศึกษาธิการของเรายังไม่ได้เน้นการพูดภาษาอังกฤษ
จะเน้นแต่หลักไวยากรณ์ คำแปล
และการอ่านเพื่อความเข้าใจและให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นส่วนใหญ่
สิ่งที่จะต้องปรับปรุงอย่างมากในระบบการเรียนภาษาอังกฤษของไทยเราคือ
การเน้นการพูดออกเสียง ไม่ว่าจะเป็นการออกเสียงพยัญชนะแต่ละตัว
การเน้นเสียงหนักเบา ซึ่งจะต้องมีสื่อช่วยสอนที่เป็นมัลติมีเดีย คือ มีทั้งภาพ
เสียง และตัวหนังสือ ให้ด้วย แทนระบบเก่าที่มีแต่ตัวหนังสือเท่านั้น
ทำให้การออกเสียงตามคำอ่านที่เขียนในตำราหรือพจนานุกรมที่ผิดๆ เช่นคำว่า cat ในพจนานุกรมอังกฤษไทยจะเขียนคำอ่านเป็น แคท ซึ่งแปลมาจากคำอ่านพจนานุกรมอังกฤษเป็นอังกฤษ ทำให้คนไทยเข้าใจว่า
ไม่ต้องออกเสียงตัว t ที่อยู่ตอนท้ายด้วย
น่าจะเขียนคำอ่านเป็น แคท-ถึ (ออกเสียง ถึ เบาๆ) แต่ถ้าเราจัดทำสื่อการเรียนการสอนแบบมัลติมีเดีย
เด็กก็จะได้ยินทั้งเสียงที่ถูกต้อง ได้เห็นภาพ และตัวหนังสือด้วย ซึ่งทำได้ไม่ยาก
และต้นทุนก็ไม่มาก การเรียนของเด็กก็จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อ้างอิง
http://dusita767.blogspot.com/2016/05/1.html
พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย
เด็กปฐมวัยเรียนรู้ภาษา
จากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวทั้งสิ่งแวดล้อมที่บ้าน และโรงเรียน
เด็กจะเรียนรู้การฟังและการพูดก่อน เพราะการฟังและการพูดเป็นของคู่กัน เป็นพื้นฐาน
ทางภาษา กล่าวคือ เมื่อฟังแล้วก็ย่อมต้องพูดสนทนาโต้ตอบได้
การเรียนภาษาของเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องอาศัยการสอนอย่างเป็นทางการ
หรือตามหลักไวยกรณ์ แต่จะเป็นการเรียนรู้
จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว
หรือเป็นการสอนแบบธรรมชาติ
ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษา
การเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัย
มีหลายทฤษฎีที่ควรกล่าวอ้างถึงมีดังนี้
1. ทฤษฎีของนักพฤติกรรมศาสตร์ (The Behaviorist View)
ทฤษฎีนี้มีความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของเด็กโดยกล่าวว่าการเรียนรู้ภาษาของเด็กเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากผลการปรับสิ่งแวดล้อมของแต่ละบุคคลที่มีอยู่ในตนเอง
ในขณะที่เด็กเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
แรงเสริมในทางบวกจะถูกนำมาใช้เมื่อภาษาของเด็กใกล้เคียง หรือถูกต้องตามภาษาผู้ใหญ่
ซึ่งนักพฤติกรรมศาสตร์มีความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนภาษาของเด็ก คือ
1. เด็กเกิดมาโดยมีศักยภาพในการเรียนรู้
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอด
ทางกรรมพันธุ์
โดยปราศจากความสามารถพิเศษทางด้านการเรียนทางใดทางหนึ่ง
2. การเรียนรู้
ซึ่งรวมถึงการเรียนภาษาเกิดขึ้น โดยการที่สิ่งแวดล้อมเป็นผู้ปรับพฤติกรรมผู้เรียน
3. พฤติกรรมทั่วไปรวมทั้งพฤติกรรมภาษา ถูกปรับโดยแรงเสริมจาก
การตอบสนองที่เกิดขึ้นจากสิ่งเร้า
4. ในการปรับพฤติกรรมที่ซับซ้อนอย่างเช่นภาษา จะมีกระบวนการเลือกหรือ
ทำให้การตอบสนองเฉพาะเจาะจงขึ้น โดยผ่านการใช้แรงเสริมทางบวก
ถึงแม้ว่าการตอบสนองทั่วไปและชนิดง่าย ๆ จะได้แรงเสริมทางบวกตั้งแต่เริ่มต้น
แต่การให้แรงเสริมในระยะหลัง ๆ
จะถูกนำมาใช้กับการตอบสนองที่ซับซ้อนและใกล้เคียงกับเป้าหมายทางพฤติกรรมสูงสุด
2. ทฤษฎีสภาวะติดตัวโดยกำเนิด (The Nativist View)
ทฤษฎีนี้มีความเชื่อเกี่ยวกับกฎธรรมชาติ
หรือกฎเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นมาแต่กำเนิด
โดยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของเด็กแตกต่างจากนักพฤติกรรมศาสตร์สองประการสำคัญ
คือ
1. การให้ความสำคัญต่อองค์ประกอบภายในบุคคลเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษา
2. การแปลความบทบาทขององค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ภาษา
ชอมสกี้และแมคนีล (McNeill.
1960 ; อ้างถึงใน หรรษา นิลวิเชียร, 2535 ; 206) เป็นผู้มีความเชื่ออย่างแรงกล้า เกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของเด็กว่า
เด็กทุกคนเกิดมาโดยมีโครงสร้างทางภาษาศาสตร์อยู่ในตัวหรือติดตัวโดยกำเนิด
ซึ่งได้แก่ โครงสร้างทางด้านความหมาย ประโยคและระบบเสียง ตามความเชื่อนี้
เด็กไม่จำเป็นต้องเรียนระบบของภาษา
เด็กเพียงแต่ต้องค้นหาว่าระบบภาษาของตนเองเกี่ยวข้องกับภาษาสากลอย่างไร
เด็กไม่ต้องเรียนรู้ว่าเราสามารถตั้งคำถามได้
แต่ต้องเรียนรู้ว่าจะตั้งคำถามอย่างไรหรือเรียนรู้ว่าจะใช้
กลุ่มเสียงใด จะรวมกลุ่มเสียงเข้าด้วยกันอย่างไร โดยสรุปก็คือ
เรียนรู้การใช้ภาษาของตน
ทั้งด้านความหมายประโยค และเสียง
เล็นเบิร์ก (Lenneberg) เป็นผู้หนึ่งที่สนับสนุนแนวคิดของนักทฤษฎีสภาวะติดตัวโดยกำเนิด
เขาชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างขั้นตอนการพัฒนาการทางร่างกาย
และขั้นตอนพัฒนาการทางภาษาว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด
เขากล่าวว่าเด็กเกิดมาด้วยความ
สามารถทางภาษา มิใช่เป็นผ้าขาว
ความสามารถทางการเรียนภาษาของเด็กถูกจัดโปรแกรม
ไว้ในตัว และมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่เด็กได้รับอีกด้วย
ตราบใดที่เด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมทางภาษาพูด เด็กจะพัฒนาการพูดโดยอัตโนมัติ และความสามารถทางภาษาจะแยกเป็นอิสระจากระดับไอคิว
3. ทฤษฎีของนักสังคมศาสตร์ (The Socialist View)
นักทฤษฎีสังคมหรือทฤษฎีวัฒนธรรมจะให้ความสนใจเกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งแวดล้อมทางภาษาของผู้ใหญ่ที่มีต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็ก
ผลการวิจัยกล่าวว่า วิธีการ
ที่ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ปฏิบัติต่อเด็กมีผลต่อพัฒนาการทางภาษา
และพัฒนาการทางสติปัญญา
ของเด็ก วิธีการเหล่านี้ ได้แก่ การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง
การสนทนาระหว่างรับประทานอาหาร การแสดงบทบาทสมมุติ การสนทนา เป็นต้น
4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ (Piaget Theory)
เพียเจท์ (Piaget) เชื่อว่าการเรียนรู้ภาษาเป็นผลจากความสามารถทางสติปัญญา
เด็กเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัวของเขา
เด็กจะเป็นผู้ปรับสิ่งแวดล้อมโดยการใช้ภาษาของตน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1. เด็กมีอิทธิพลต่อวิธีการที่แม่พูดกับเขา จากผลการวิจัยปรากฏว่า
แม่จะพูดกับลูกแตกต่างไปจากพูดกับผู้อื่น เพื่อรักษาการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
แม่จะพูดกับเด็กเล็ก ๆ
ต่างจากเด็กโตและผู้ใหญ่ จะพูดประโยคที่สั้นกว่า ง่ายกว่า
เพื่อการสื่อสารที่มีความหมาย
2. เด็กควบคุมสิ่งแวดล้อมทางภาษา เพื่อได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
เด็กต้องการค้นพบว่าเสียงที่ได้ยินมีความหมายอย่างไร
มีโครงสร้างเพื่อองค์ประกอบพื้นฐานอะไร
3. การใช้สิ่งของหรือบุคคลเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้าใจพื้นฐานว่า
ผู้ใหญ่เห็นหรือได้ยินเขาพูด เด็กอาจเคลื่อนไหวตัวหรือ จับ ขว้าง ปา บีบ ของเล่น
เพื่อสร้างความเข้าใจเพื่อเป็นพื้นฐาน และความจำเป็นของความเจริญทางภาษา
การเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับผู้อื่น เกี่ยวกับสิ่งของ เกี่ยวกับเหตุและผล
เกี่ยวกับสถานที่ มิติ เกี่ยวกับการเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ของกิริยาและสิ่งของ
มีส่วนช่วยให้เด็กแสดงออกทางภาษาอย่างมีความหมาย
นั่นคือเด็กต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้เพียเจท์ (Piaget) ยืนยันว่า พัฒนาการทางภาษาของเด็กเป็นไปพร้อม ๆ
กับความสามารถด้านการให้เหตุผล การตัดสิน และด้านตรรกศาสตร์
เด็กต้องการสิ่งแวดล้อม
ที่จะส่งเสริมให้เด็กสร้างกฎ ระบบเสียง ระบบคำ ระบบประโยค
และความหมายของภาษา นอกจากนี้เด็กยังต้องการฝึกภาษาด้วยวิธีการหลาย ๆ วิธีและจุดประสงค์หลาย
ๆ อย่าง
5. ทฤษฎีของนักจิตวิทยาภาษาศาสตร์ (Psycholinguistics
Theory)
ทฤษฎีนี้ชอมสกี้ (Chomskey,
1960 ; อ้างถึงใน สุภาวดี ศรีวรรธนะ, 2542
: 36) กล่าวว่า การเรียนรู้ภาษาเป็นเรื่องซับซ้อนซึ่งจะต้องคำนึงถึงโครงสร้างภาษาในตัวเด็กด้วย
เพราะบางครั้งเด็กพูดคำใหม่โดยไม่ได้รับแรงเสริมมาก่อนเลย
เขาอธิบายการเรียนรู้ภาษาของเด็กว่าเมื่อเด็กได้รับประโยค หรือกลุ่มคำต่าง ๆ
เข้ามาเด็กจะสร้างไวยกรณ์ขึ้น
โดยใช้เครื่องมือการเรียนรู้ภาษาที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ซึ่งได้แก่อวัยวะเกี่ยวกับ
การพูด การฟัง นอกจากนี้
เล็นเบอร์ก (Lenneberg) ยังเป็นผู้หนึ่งที่เสนอทฤษฎีแนวนี้โดยมีความเชื่อว่า
มนุษย์มีอวัยวะ
ที่พร้อมสำหรับการเรียนรู้ภาษา ถ้าสมองส่วนนี้ชำรุด
หลังจากวัยรุ่นตอนต้น (อายุประมาณ
12 ปี) จะทำให้การเรียนรู้ภาษาใหม่ได้ยาก
ทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษา
ทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษามีหลายทฤษฎี
ดังนี้ (ศรียา นิยมธรรม และ
ประภัสสร นิยมธรรม, 2519 : 31-35)
1. ทฤษฎีความพึงพอใจแห่งตน (The
Autism Theory หรือ Austistic Theory) ทฤษฎีนี้ถือว่า
การเรียนรู้การพูดของเด็กเกิดจากการเลียนเสียงอันเนื่องจากความพึงพอใจ
ที่ได้กระทำเช่นนั้น โมว์เรอร์ (Mower) เชื่อว่า
ความสามารถในการฟัง และความเพลิดเพลิน
กับการได้ยินเสียงของผู้อื่นและตนเองเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการทางภาษา
2. ทฤษฎีการเลียนแบบ (The
Imitation Theory) เลวิส (Lawis) ได้ศึกษาและ
เชื่อว่า พัฒนาการทางภาษานั้นเกิดจากการเลียนแบบ
ซึ่งอาจเกิดจากการมองเห็นหรือการได้ยินเสียง การเลียนแบบของเด็กเกิดจากความพอใจ
และความสนใจของตัวเด็กเอง ปกติช่วงความสนใจของเด็กนั้นสั้นมาก เพื่อที่จะชดเชยเด็กจึงต้องมีสิ่งเร้าซ้ำ
ๆ กัน การศึกษากระบวนการ
ในการเลียนแบบภาษาพูดของเด็กพบว่า
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อพ่อแม่เลียนแบบเสียงของเด็ก
ในระยะเล่นเสียงหรือในระยะที่เด็กกำลังเรียนรู้การออกเสียง
3. ทฤษฎีเสริมแรง (Reinforcement Theory) ทฤษฎีนี้อาศัยจากหลักทฤษฎี
การเรียนรู้ซึ่งถือว่าพฤติกรรมทั้งหลายถูกสร้างขึ้น
โดยอาศัยการวางเงื่อนไข ไรน์โกลต์ (Rhiengold) และคณะได้ศึกษาพบว่าเด็กจะพูดมากขึ้นเมื่อได้รางวัล
หรือได้รับการเสริมแรง
4. ทฤษฎีการรับรู้ (Motor Theory of Perception) ลิเบอร์แมน (Liberman) ตั้งสมมติฐานไว้ว่า
การรับรู้ทางการฟังขึ้นอยู่กับการเปล่งเสียง จึงเห็นได้ว่า
เด็กมักจ้องหน้าเวลาเราพูดด้วย การทำเช่นนี้อาจเป็นเพราะเด็กฟัง
และพูดซ้ำกับตัวเอง หรือหัดเปล่งเสียง
โดยอาศัยการอ่านริมฝีปาก แล้วจึงเรียนรู้คำ
5. ทฤษฎีความบังเอิญจากการเล่นเสียง (Babble Buck) ซึ่งธอร์นไดค์ (Thorndike) เป็นผู้คิดโดยอธิบายว่า
เมื่อเด็กกำลังเล่นเสียงอยู่นั้น
เผอิญมีเสียงบางเสียงไปคล้ายกับเสียงที่มีความหมาย ในภาษาพูดของพ่อแม่
พ่อแม่จึงให้การเสริมแรงทันที ด้วยวิธีนี้จึงทำให้เด็กเกิดพัฒนาการทางภาษา
6. ทฤษฎีชีววิทยา (Biological Theory) เล็นเบิร์ก
(Lenneberg) เชื่อว่า
พัฒนาการทางภาษามีพื้นฐานทางชีววิทยาเป็นสำคัญ
กระบวนการที่คนพูดได้ขึ้นอยู่กับอวัยวะในการ
เปล่งเสียง เด็กจะเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้ และพูดได้ตามลำดับ
7. ทฤษฎีการให้รางวัลของพ่อแม่ (Mother Reward Theory)
ดอลลาร์ด (Dollard) และมิลเลอร์ (Miller)
เป็นผู้คิดทฤษฎีนี้
โดยย้ำเกี่ยวกับบทบาทของแม่ในการพัฒนาภาษาของเด็กว่า
ภาษาที่แม่ใช้ในการเลี้ยงดูเพื่อเสนอความต้องการของลูกนั้น
เป็นอิทธิพลที่ทำให้เกิดภาษาพูดแก่ลูก
พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย
เนสเซล (Nessel. 1989 : 5 – 21) ได้อ้างถึงผลงานวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาของเด็กว่าประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
คือ
ขั้นแรกเริ่ม (Pre language)
เด็กอายุหนึ่งเดือนถึงสิบเดือน จะมีความสามารถจำแนกเสียงต่าง ๆ ได้
แต่ยังไม่มีความสามารถควบคุมการออกเสียง เด็กจะทำเสียงอ้อแอ้
หรือเสียงแสดงอารมณ์ต่าง ๆ เด็กจะพัฒนาการออกเสียงขึ้นเรื่อย ๆ
จนใกล้เคียงกับเสียง
ในภาษาจริง ๆ มากขึ้นตามลำดับเรียกว่าเป็นคำพูดเทียม (Pseudowore)
พ่อแม่ที่ตั้งใจฟัง
และพูดตอบจะทำให้เด็กเพิ่มความสามารถในการสื่อสารมากยิ่งขึ้น
ขั้นที่ 1 (10 – 18 เดือน) เด็กจะควบคุมการออกเสียงคำที่จำได้
สามารถเรียนรู้คำศัพท์ในการสื่อสารถึง 50 คำ
คำเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับคน สัตว์ สิ่งของ หรือเรื่องราว
ในสิ่งแวดล้อม การที่เด็กออกเสียงคำหนึ่งหรือสองคำ
อาจมีความหมายรวมถึงประโยคหรือวลีทั้งหมด การพูดชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า Holphrastic
Speech
ขั้นที่ 2 (18 – 24 เดือน)
การพูดขั้นนี้จะเป็นการออกเสียงคำสองคำและวลีสั้น ๆ
มีชื่อเรียกว่า Telegraphic Speech คล้าย ๆ
กับโทรเลข คือมีเฉพาะคำสำหรับสื่อความหมาย
เด็กเรียนรู้คำศัพท์มากขึ้นถึง 300 คำ
รวมทั้งคำกิริยาและคำปฏิเสธ
เด็กจะสนุกสนานกับการพูดคนเดียวในขณะที่ทดลองพูดคำและโครงสร้างหลาย ๆ รูปแบบ
ขั้นที่ 3 (24 – 30 เดือน)
เด็กจะเรียนรู้ศัพท์เพิ่มขึ้นถึง 450 คำ วลีจะยาวขึ้น
พูดประโยคความเดียวสั้น ๆ มีคำคุณศัพท์รวมอยู่ในประโยค
ขั้นที่ 4 (30 – 36 เดือน)
คำศัพท์จะเพิ่มมากขึ้นถึง 1,000 คำ ประโยคเริ่มซับซ้อนขึ้น
เด็กที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา
จะแสดงให้เห็นถึงความเจริญงอกงามทางด้านจำนวนศัพท์และรูปแบบของประโยคอย่างชัดเจน
ขั้นที่ 5 (36 – 50 เดือน)
เด็กสามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพในครอบครัวและผู้คนรอบข้าง
จำนวนคำศัพท์ที่เด็กรู้มีประมาณ 2,000 คำ
เด็กใช้โครงสร้างของประโยคหลายรูปแบบ
เด็กจะพัฒนาพื้นฐานการสื่อสารด้วยวาจาอย่างมั่นคง และเริ่มต้นเรียนรู้
ภาษาเขียน
เยาวพา เดชะคุปต์ (2528 : 48 –
49) ได้แบ่งขั้นตอนของพัฒนาการทางภาษาของเด็กเป็น 7 ระยะคือ
1. ระยะเปะปะ (Randon Stage หรือ Prelinguistic Stage) อายุแรกเกิด ถึง 6 เดือน
ในระยะนี้เป็นระยะที่เด็กจะเปล่งเสียงดัง ๆ ที่ยังไม่มีความหมาย
การเปล่งเสียงของเด็กก็เพื่อบอกความต้องการของเขาและเมื่อได้รับการตอบสนอง
เขาจะรู้สึกพอใจ ตัวอย่างเช่น เด็กจะร้องเมื่อถูกปล่อยให้อยู่คนเดียว
เมื่อรู้สึกหิว ฯลฯ หรือเพราะรู้สึกเป็นสุขที่ได้ส่งเสียงออกมา
เมื่อเด็กอายุได้ 6 เดือน จะเริ่มออกเสียง อ้อ – แอ้
และเริ่มเปล่งเสียงต่าง ๆ ซึ่งไม่มีผู้ใดเข้าใจหรือแยกแยะได้ นอกจากนักภาษาศาสตร์
ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ดีของการสนับสนุนให้เด็กมีพัฒนาการทางการพูด
และเด็กที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจจะมีโอกาสพัฒนาทางภาษาได้ดีกว่าเด็กที่ไม่สบาย
เจ็บป่วย ร้องให้โยเย
1. ระยะแยกแยะ (Jergon Stage) อายุ 6 เดือน
ถึง 1 ปี หลังจาก 6 เดือนขึ้นไป
เด็กจะเริ่มเข้าสู่ระยะที่ 2 ซึ่งเด็กจะสามารถแยกแยะเสียงต่าง
ๆ ที่เขาได้ยิน และเด็กจะรู้สึกพอใจที่จะได้ส่งเสียงและถ้าเสียงใดที่เขาเปล่งออกมาได้รับการตอบสนองในทางบวก
เขาก็จะ
เปล่งเสียงนั้นซ้ำอีก ในบางครั้งเด็กจะเลียนเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ
ที่มีคนพูดคุยกับเขา
2. ระยะเลียนแบบ (Imitation Stage) อายุ 1 – 2 ปี
ในระยะนี้เด็กจะเริ่มเลียนเสียงต่าง ๆ ที่เขาได้ยิน เช่น เสียงของพ่อแม่
ผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด เสียงที่เปล่งออกมาอย่างไม่มีความหมายจะค่อย ๆ หายไป
และเด็กจะเริ่มรับฟังเสียงที่ได้รับการตอบสนองซึ่งนับว่าพัฒนาการทางภาษาจะเริ่มต้นอย่างแท้จริงที่ระยะนี้
3. ระยะขยาย (The Stage of Expansion) อายุ 2 – 4 ปี ในระยะนี้เด็กจะหัดพูด โดยจะเริ่มจากการหัดเรียกชื่อ คน สัตว์
และสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัว เขาจะเริ่มเข้าใจถึงการใช้สัญลักษณ์ในการสื่อความหมาย
ซึ่งเป็นการสื่อความหมายในโลกของผู้ใหญ่ การพูดของเด็ก
ในระยะแรก ๆ จะเป็นการออกเสียงคำนามต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ เช่น พ่อ
แม่ พี่ น้อง นก แมว หมา ฯลฯ และคำคุณศัพท์ต่าง ๆ ที่เขาเห็น รู้สึกและได้ยิน
ซึ่งในวัยต่าง ๆ เขาจะสามารถพูดได้ดังนี้
อายุ 2 ปี เด็กจะเริ่มพูดเป็นคำ โดยจะสามารถใช้คำนามได้ประมาณ
20 เปอร์เซ็นต์
อายุ 3 ปี
เด็กจะเริ่มพูดเป็นประโยคได้
อายุ 4 ปี เด็กจะเริ่มใช้คำศัพท์ต่าง
ๆ และรู้จักการใช้คำเติมหน้าและลงท้ายอย่างที่ผู้ใหญ่ใช้กัน
1. ระยะโครงสร้าง (Structure Stage) อายุ 4 – 5 ปี
ระยะนี้เด็กจะเริ่มพัฒนา
ความสามารถในการรับรู้และการสังเกต เด็กจะเริ่มเล่นสนุกกับคำและรู้จักคิดคำและประโยคของตนเอง
โดยอาศัยการสร้างจากคำ วลี ประโยคที่เขาได้ยินคนอื่น ๆ พูด
เด็กจะเริ่มคิดกฎเกณฑ์ในการประสมคำ และหาความหมายของคำและวลี
ซึ่งเด็กจะเริ่มรู้สึกสนุกกับ
การเปล่งเสียงโดยเขาจะเล่นเป็นเกมกับเพื่อน ๆ หรือสมาชิกในครอบครัว
2. ระยะตอบสนอง (Responding Stage) อายุ 5 – 6 ปี
ในระยะนี้เด็กจะมีความสามารถในการคิดและพัฒนาการทางภาษาสูงขึ้น
เขาจะเริ่มพัฒนาภาษาไปสู่ภาษา
ที่เป็นแบบแผนมากขึ้น และใช้ภาษาเหล่านั้นกับสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว
การพัฒนาทางภาษาของเด็กในวัยนี้ จะเริ่มต้นเมื่อเขาเข้าเรียนในชั้นอนุบาลโดยเด็กจะเริ่มใช้ไวยากรณ์อย่างง่าย
ๆ ได้รู้จักใช้คำที่เกี่ยวข้องกับบ้านและโรงเรียน
ภาษาที่เด็กใช้ในการสื่อความหมายในระยะนี้ จะเกิดจากสิ่งที่เขามองเห็นและรับรู้
1. ระยะสร้างสรรค์ (Creative Stage) อายุ 6 ปีขึ้นไป
ในระยะนี้ได้แก่ ระยะที่เด็กเริ่มเข้าโรงเรียน
เด็กจะเล่นสนุกกับคำและหาวิธีสื่อความหมายด้วยตัวเลข เด็กในระยะนี้
จะพัฒนา วิเคราะห์ และสร้างสรรค์ทักษะในการสื่อความหมาย
โดยใช้ถ้อยคำสำนวน
การเปรียบเทียบและภาษาพูดที่เป็นนามธรรมมากขึ้นและเขาจะรู้สึกสนุกกับการแสดง
ความคิดเห็นโดยการพูดและการเขียน
จะเห็นได้ว่า พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย
ในระยะเริ่มแรกจะมีความสามารถในด้านการฟัง สามารถแยกแยะเสียงต่าง ๆ ที่ได้ยิน
และต่อมาจะมีการเลียนแบบเสียงที่ได้ยินและสามารถพูดเลียนแบบเสียงที่คุ้นเคยได้
เมื่ออายุ 4 – 5 ปี สามารถพูด
เป็นประโยคง่าย ๆ ได้ สามารถสื่อสารได้และเมื่อย่างเข้าปีที่ 6
จะพัฒนาไปสู่พื้นฐานการเขียน
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษา
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการหรือความก้าวหน้าทางภาษาของเด็กมีดังนี้
(กรรณิการ์ พวงเกษม, 2534
: 20 – 21)
1. วุฒิภาวะ เมื่อเด็กมีความเจริญขึ้นตามลำดับ
ความสามารถในการพูด การเขียนย่อมตามมา นับตั้งแต่อายุ 15 เดือน
ขึ้นไปแล้วเด็กจะใช้ภาษาพูดมากขึ้นตามลำดับจนกระทั่ง
อายุ 36 เดือน จะสามารถใช้คำพูด 376 คำต่อวัน และเมื่ออายุ 48 เดือน จะพูดได้ 397
คำต่อวัน และสามารถใช้คำวิเศษณ์ และคำคุณศัพท์เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
และนอกจากนั้นถ้าหาก
มีสมาธิดี ก็จะจดจำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาเล่าต่อให้คนอื่นทราบ
2. สิ่งแวดล้อม ถ้าหากพ่อแม่ ผู้ปกครองสนใจ
เอาใจใส่ พยายามพร่ำสอนให้เด็ก
พูดคุย และหัดอ่านหัดเขียนอยู่ตลอด เด็กจะมีความพร้อมทางภาษามาก โดยเฉพาะครอบครัว
ที่มีการศึกษาสูง
ย่อมมีส่วนสร้างความเจริญทางภาษาให้เด็กได้ดีกว่าครอบครัวที่มีฐานะยากจน
ซึ่งส่วนมากไม่ค่อยสนใจในเรื่องภาษาของบุตรหลานของตนเท่าที่ควร
3. การเข้าใจความหมายภาษาที่ใช้พูด
ถ้าอยู่ในวงแคบศัพท์ก็พื้น ๆ ธรรมดา
แต่ถ้าหากอยู่ในชุมชนที่กว้างใหญ่ เด็กก็สามารถเข้าใจคำ ประโยค
วลีที่มีความหมายต่าง ๆ
ได้ดี ฉะนั้น การพูดอะไรก็ตามที่เด็กเพียงแต่เลียนคำพูด
เลียนเสียงพูด ผู้ใหญ่จึงควรได้ย้อนถามเขาดูบ้างว่าที่พูด ๆ นั้นเข้าใจเพียงใด
เปรียบเสมือนคนไทยที่พูดคำต่างประเทศตามเขา
แต่ออกเสียงผิด ความหมายก็ย่อมจะเปลี่ยนไปได้ ดังนั้น
เพื่อป้องกันความผิดพลาดดังกล่าว
จึงควรได้ย้อนถามความหมายในสิ่งที่เด็กพูดได้แต่ไม่เข้าใจความหมายด้วย
4. การให้มีพัฒนาการทั้งหมด (Develope as a Whole) เราจะต้องให้เด็กมีรูปร่าง
ที่ดี หน้าตาสดใส สะอาดกายใจ สมองก็ต้องให้ดี สุขภาพสมบูรณ์ และสังคมก็ต้องดี
จึงจะ
ทำให้เด็กมีความเจริญทางภาษาได้ดี
ไม่ควรแต่เพียงว่าให้อ่านได้เขียนได้เท่านั้น
เราต้องคำนึงถึงหลักของความต้องการความสนใจจากเพื่อน ๆ ของเด็กด้วย
ถ้าหน้าตาสกปรกเพื่อน ๆ ก็ย่อมไม่พูดคุยด้วย
โอกาสที่จะมีความเจริญทางภาษาพูดก็ยิ่งเสียเปรียบคนที่รูปร่าง หน้าตา สะอาดสดใส
5. ขั้นตอนและการจัดชั้นเรียน
การจัดโรงเรียนแบบไม่มีชั้น
แต่อาศัยความสามารถทางภาษาเป็นแนวก็น่าจะได้ลองจัดให้เป็นที่แพร่หลายต่อไป
หลักสูตรและขั้นตอนการสอนบางบทก็น่าจะสับเปลี่ยนไปได้ตามระดับความสามารถและความพร้อมของนักเรียน
จึงมีข้อที่น่าสังเกตว่าบางแห่งสอนบทเรียนยากก่อน
แล้วกลับมาสอนบทธรรมดาภายหลังโดยอ้างแต่หลักสูตร ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว
ครูผู้สอนน่าจะมีความสามารถในการวินิจฉัยบทเรียนนั้น ๆ ได้ด้วยตนเอง
6. การมีส่วนร่วม (Participation) กิจกรรมใด ๆ ก็ตามเด็ก ๆ
ควรมีส่วนร่วม
ทุกครั้ง ทุกคน
ครูไม่ควรเลือกที่รักมักที่ชังจะต้องพิจารณาความสามารถของเด็กเป็นรายบุคคลและกำหนดงานให้ทำร่วมกับเพื่อน
ๆ ตามใจสมัคร หรือครูกำหนดกลุ่มให้บางครั้ง การทำงานเป็นกลุ่ม
การทำงานเป็นกลุ่มย่อย การร่วมกิจกรรมต่าง ๆ มีส่วนช่วยให้เด็กมีความเจริญ
ทางภาษาได้อย่างมาก
นอกจากนี้ สุภาวดี ศรีวรรธนะ
(2542 : 49 – 50) ยังได้กล่าวถึง ปัจจัยที่มีอิทธิพล
ต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็กว่าควรประกอบด้วยสิ่งสำคัญ 2 ประการคือ
1. สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
การศึกษาและถิ่นที่อยู่ของบิดา มารดา
อันเนื่องมาจากการแบ่งชนชั้นไม่เท่าเทียมกันในสังคม
เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็ก แม็คคาธี (MC.
Carthy 1957 : 603 ; อ้างถึงใน Carmichale.
1960 ; 586 – 587) ได้ค้นคว้าเกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาพูดของเด็ก
พบว่าความแตกต่างทางด้านฐานะทางเศรษฐกิจและอาชีพมีผลต่อพัฒนาการทางภาษาพูดของเด็ก
เด็กที่อยู่ในฐานะเศรษฐกิจและสังคมสูง จะใช้ภาษาได้ดีกว่าตั้งแต่อายุยังน้อย
และเด็กที่อยู่ในฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำ มักจะใช้คำถามอย่างเดียวติดต่อกันไป
ซึ่งแสดงว่ายังมีวุฒิภาวะทางด้านภาษา
ไม่ดีพอ ส่วนทางด้านการศึกษาของบิดา มารดานั้น พิชเชอร์ (Fisher
1958 : 483 ; อ้างถึงใน Carmichale. 1960 : 587) ได้ศึกษาวิจัยและพบว่า เด็กที่มาจากครอบครัวซึ่งบิดามารดา
เป็นผู้ชำนาญการได้รับการศึกษามาอย่างดี
จะมีพัฒนาการทางภาษาดีที่สุด
และถิ่นที่อยู่สามารถเป็นองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษาได้นั้น
จากการศึกษาของ คิทเทล (Kittle 1967 : 342 ; อ้างถึงใน
สวนา พรพัฒน์กุล. 2513 :
9) ได้ศึกษาวิจัยพบว่า
พัฒนาการทางภาษาของเด็กในเขตเมืองกับเขตชนบทมีความแตกต่างกันโดยเขตเมืองจะดีกว่า
2. ขนาดครอบครัว เพศ และอายุ
เป็นส่วนที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษา
อีกประการหนึ่งโดย จอห์นสัน (Johnson. 1974 : 265) ได้ศึกษาเปรียบเทียบขนาดของครอบครัวว่ามีส่วนสัมพันธ์กับพัฒนาการทางภาษาหรือไม่
พบว่า ครอบครัวที่มีการอบรม
เลี้ยงดูเป็นอย่างดีไม่มีพี่น้องมาก จะมีพัฒนาการทางภาษาได้เร็ว
และดีกว่าครอบครัวที่มีพี่น้องมาก ถ้ามีพี่น้องมากคนโต
และคนสุดท้ายมักมีพัฒนาทางภาษาที่ดีกว่าลูกคนกลาง ส่วนเพศและอายุ พบว่า
เด็กหญิงมีความสามารถทางภาษาดีกว่าเด็กชาย ส่วนอายุนั้น จะพบว่าเด็กตั้งแต่ 3
ปี ขึ้นไปจะมีพัฒนาการทางภาษาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
พอถึงวัยเข้าโรงเรียนแล้วจึงลดลงตามลำดับ
จากที่กล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย
ควรประกอบด้วยวุฒิภาวะหรือความพร้อมของพัฒนาการทุกด้าน เพศ อายุ ขนาดของครอบครัว
สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม สิ่งแวดล้อมรอบตัวทั้งบุคคลและสถานที่ ตลอดจนบุคลิกภาพ
จิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
จิตวิทยาการเรียนรู้หรือจิตวิทยาการเรียนการสอน
เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาหรือจัดการเรียนการสอน
ซึ่งเป็นการนำเอาหลักจิตวิทยามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้
โดยมีขอบข่ายที่สำคัญ 3 ประการคือ
1. ศึกษาถึงธรรมชาติของการเรียนรู้
กระบวนการเรียนรู้ ตลอดถึงธรรมชาติของการคิด การจำ และการลืม
2. ศึกษาถึงเชาวน์ปัญญา ความถนัด ความสนใจ
และทัศนคติ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการเรียนรู้
3. ศึกษาถึงบุคลิกภาพ การปรับตัว
และวิธีการปรับพฤติกรรม
การนำเสนอจิตวิทยาการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในเอกสารเล่มนี้
ผู้เขียน
ขอนำเสนอเฉพาะในส่วนที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย 3 ประการดังนี้
1. จุดมุ่งหมายของการศึกษาจิตวิทยาการเรียนรู้
การศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย
มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ
1. เพื่อให้เข้าใจในพฤติกรรมของเด็กแต่ละวัยและสามารถจัดประสบการณ์
ให้แก่เด็กได้อย่างสอดคล้อง เหมาะสมกับเด็ก
2. เพื่อให้เข้าใจในธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กในทุก
ๆ ด้านตลอดจน
รู้วิธีการสร้างแรงจูงใจในการเรียนการสอน
3. เพื่อช่วยให้ครูเข้าใจในการเตรียมบทเรียน
วิธีการสอน วิธีการประเมินผลให้สอดคล้องกับธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็ก
4. เพื่อช่วยให้ครูได้นำเทคนิควิธีการใหม่ ๆ
ทางการศึกษามาพัฒนาให้เด็ก
มีพัฒนาการที่ดีขึ้น เช่น การคิด ความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ
ในการศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการในส่วนที่เกี่ยวกับการเรียนรู้นั้นสิ่งสำคัญที่ครูจะต้องคำนึง
คือ ความพร้อม (Readiness) อันเป็นช่วงของพัฒนาการของเด็ก
ซึ่งจะมีจุดสูงสุด (Optimal Point) ที่เด็กจะเรียนรู้ได้ดี
และบังเกิดผลดี ซึ่งจุดที่เราเรียกว่า “ความพร้อม”
นี้ถ้าเด็กยังไปไม่ถึงจุดนี้หรือผ่านพ้นจุดนี้ไปแล้ว
เด็กจะเรียนไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม
ความคิดเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการนี้นักจิตวิทยาก็ยังมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป
พวกหนึ่งเห็นว่า พัฒนาการเป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะต้องค่อยเป็นค่อยไป
อีกพวกหนึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องประสบการณ์ที่ครูสามารถช่วยจัดให้ได้ (พงษ์พันธุ์
พงษ์โสภา. 2544 : 58 – 59) ดังเช่น
Arnold Gesell เห็นว่า
ความพร้อมเป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะต้องค่อยเป็นค่อยไป
ถ้าเด็กยังไม่พร้อม เราควรรอให้เด็กพร้อมก่อนจึงให้เด็กเรียน
Jerome Bruner เห็นว่า
ความพร้อมเป็นเรื่องที่สอนกันได้ ไม่จำเป็นต้องให้เด็กรอ
เด็กสามารถเรียนได้ก่อนกำหนด
ถ้าเรารู้วิธีการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมเพื่อสอน
ให้เด็กพร้อม
Erik Erikson ได้เสนอทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพ
เพื่อให้ครูเห็นว่า ในแต่ละ
ช่วงวัยนั้นเด็กมีความพร้อมที่จะพัฒนาในเรื่องใด
และเราควรจะจัดการศึกษาอย่างไร
ให้สอดคล้องกับพัฒนาการในแต่ละช่วง
Jean Piaget ให้ข้อคิดว่า ครูควรจะสอนเพื่อเร่งเด็กหรือไม่
โดยเสนอ
ขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์ให้เป็นข้อพิจารณา
ซึ่งจะได้เสนอต่อไป นอกจากนี้
เพียเจท์ (Piaget) ยังมีความเชื่อว่าเป้าหมายของพัฒนาการนั้นคือ
1. ความสามารถที่จะคิดอย่างมีเหตุผลกับสิ่งที่เป็นนามธรรม
2. ความสามารถที่จะคิดตั้งสมมุติฐานอย่างสมเหตุสมผล
3. ความสามารถที่จะตั้งกฎเกณฑ์และการแก้ปัญหา
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าผลงานการศึกษาค้นคว้าของเพียเจท์ (Piaget)
ทำให้นักจิตวิทยาและนักการศึกษาได้เข้าใจพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนและกระบวนการอย่างไร
ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาในปัจจุบันเป็นอย่างมาก
เพียเจท์ (Piaget) ได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้น
โดยแต่ละขั้น
ที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวนำไปสู่ขั้นต่อไป
หรือขั้นตอนแต่ละขั้นมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันคือ
(พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา, 2544
: 62 – 65)
1. ขั้นการใช้กล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส (Sensori Motor Stage) จะอยู่ในช่วงระยะแรกเกิดถึง
2 ปี
พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้แสดงออกโดยการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การมอง การดูด
การไขว่คว้า เป็นระยะที่พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กเกิดขึ้นจากการใช้ประสาทสัมผัสต่าง
ๆ เด็กในวัยนี้แสดงให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้
แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด การทำงานของประสาทสัมผัส เช่น
การเคลื่อนไหวต่าง ๆ เป็นการที่เด็กเริ่มเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กในวัยนี้
2. ขั้นเตรียมสำหรับความคิดที่มีเหตุผล (Pre - operational or Pre - conceptual Stage) อยู่ในช่วง อายุ 2 – 7 ปี
เพียเจท์ (Piaget) ได้แบ่งพัฒนาการขั้นนี้ออกเป็นขั้นย่อย
ๆ 2 ขั้นได้แก่
2.1
Preconceptual Thought อยู่ในช่วงเด็กอายุระหว่าง 2 – 4 ปี เด็กในวัยนี้
มีความคิดรวบยอด (Concept) ในเรื่องต่าง ๆ
แล้วเพียงแต่ยังไม่สมบูรณ์ และยังไม่มีเหตุผล
เด็กสามารถใช้ความหมายของสัญลักษณ์ แต่การใช้ภาษานั้น
ยังเป็นภาษาที่เกี่ยวข้องกับตนเองเป็นส่วนใหญ่ (Egocentric) เด็กในวัยนี้ชอบเล่นสมมุติโดยใช้สัญลักษณ์ต่าง
ๆ เช่น ก้านกล้วยแทนม้าหรือสมมุติให้ตุ๊กตาเป็นสิ่งมีชีวิต พูดคุยกันได้
2.2
Intuitive Thought อยู่ในช่วงเด็กอายุระหว่าง 4 – 7 ปี พัฒนาการ
ทางสติปัญญาของเด็กในช่วงนี้ยังคงอยู่ในขั้น Preconceptual
Thought กล่าวคือ การคิดของเด็กวัยนี้แม้ว่าจะเริ่มมีเหตุผลขึ้น
แต่การคิดและการตัดสินใจก็ยังขึ้นอยู่กับการรับรู้มากกว่า
ความเข้าใจ พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กในช่วงนี้ จะต่างจาก Preconceptual
Thought ตรงที่เด็กวัยนี้เริ่มมีปฏิกิริยาต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
มีความสนใจอยากรู้อยากเห็น และมี
การซักถามมากขึ้น มีการเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้าง
ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือ
ในการคิด
อย่างไรก็ตามความเข้าใจของเด็กวัยนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่รับรู้จากภายนอกอยู่นั่นเอง
1. ขั้นการคิดอย่างมีเหตุผลเชิงรูปธรรม (Concrete Operational Stage) อยู่ในช่วงอายุระหว่าง
7 – 11 ปี พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กวัยนี้
เด็กสามารถใช้สมองคิด
อย่างมีเหตุผล
แต่กระบวนการคิดและการใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหายังต้องอาศัยสิ่งที่เป็นรูปธรรมกล่าวคือจะต้องเป็นวัตถุหรือเหตุการณ์ที่เด็กได้พบเห็นจริง
ๆ เด็กวัยนี้สามารถเข้าใจถึงเรื่องความคงที่ของปริมาณ (Conservation of
Quantity) ได้แล้ว
โดยที่เด็กสามารถเข้าใจได้ว่าของแข็งหรือของเหลวจำนวนหนึ่ง
ถึงแม้ว่ารูปร่างจะเปลี่ยนไป แต่น้ำหนักหรือปริมาณก็ยังคงเท่าเดิม
จุดเด่นของเด็กในวัยนี้คือ เด็กเริ่มมีเหตุผล สามารถคิดกลับไปกลับมาได้ (Reversibility)
เด็กเริ่มมองเหตุการณ์และสิ่งต่าง ๆ ได้หลายแง่มุมขึ้น
เด็กจะมีความเข้าใจและสามารถตั้งเกณฑ์ที่จะนำมาใช้จัดแบ่งสิ่งต่าง ๆ
ให้เป็นกลุ่มหรือเป็นหมวดหมู่ได้ และเด็กในวัยนี้ยังสามารถมองวัตถุได้ถึง 2
ลักษณะในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ เด็กสามารถมองถึงขนาด
ความยาวไปพร้อมกับน้ำหนักของวัตถุได้
2. ขั้นการคิดอย่างมีเหตุผลเชิงนามธรรม (Formal Operational Stage) อยู่ในช่วงอายุระหว่าง
11 – 15 ปี ในขั้นนี้
โครงสร้างของการงอกงามทางความคิดของเด็กได้มาถึงขั้นสูงสุด เด็กจะเริ่มเข้าใจกฎเกณฑ์ทางสังคมได้ดีขึ้น
สามารถเรียนรู้โดยใช้เหตุผลมาอธิบายและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้
เด็กจะรู้จักวิธีคิดตัดสินปัญหา
และพัฒนาการทางความคิดของเด็กในวัยนี้จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว
เด็กจะมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น มีความสนใจในสิ่งที่เป็นนามธรรมและสามารถเข้าใจเรื่องของนามธรรมได้ดีขึ้น
นักการศึกษาได้นำแนวคิดของเพียเจท์
(Piaget) มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนหรือจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในหลายประเด็นคือ
1. เนื่องจากภาษาและความคิดของเด็กจะมีลักษณะเฉพาะและแตกต่างไปจากผู้ใหญ่
ดังนั้นในการเรียนการสอนครูจะต้องคำนึงถึงและสังเกตโดยใกล้ชิด
เพื่อจะได้ทราบลักษณะเฉพาะของเด็ก
2. โดยธรรมชาติของเด็ก เด็กพยายามจะทำสิ่งต่าง ๆ
ด้วยตนเองเพื่อเป็น
การเรียนรู้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือ
พยายามให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง เด็กก็จะเกิดความเข้าใจ
ในเรื่องนั้นได้อย่างถ่องแท้
3. โดยทั่วไป เด็กจะมีความสนใจและเรียนรู้ได้ดี
ถ้าบทเรียนนั้นมีระดับ
ปานกลาง กล่าวคือ ไม่ยากและไม่ง่ายเกินไปสำหรับเด็กที่จะเรียนรู้
แต่เนื่องจาก
ความแปลกใหม่ ความน่าสนใจของสิ่งที่จะเรียนรู้สำหรับเด็กคนหนึ่ง
อาจเป็นความเคยชิน
จนไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับเด็กอีกคนหนึ่งก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้
การเรียนการสอนเป็นกลุ่ม
อาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ดังนั้น
เมื่อมีโอกาสครูจึงควรให้เด็กได้เรียนหรือทำงานตาม
ความสนใจของเด็กแต่ละคน
4. ครูควรสนับสนุนให้เด็กกล้าแสดงความคิดเห็นในเชิงโต้แย้งออกมา
ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะเป็นลักษณะปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Social
Interaction) ที่จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางสติปัญญาที่งอกงามยิ่งขึ้น
2. ธรรมชาติของการเรียนรู้
ธรรมชาติของการเรียนรู้ของคนประกอบด้วยสิ่งสำคัญ
4 ประการคือ (มาลี จุฑา,
2544 : 67 – 68)
1. ความต้องการของผู้เรียน (Want) คือผู้เรียนอยากทราบอะไร
เมื่อผู้เรียน
มีความต้องการอยากรู้อยากเห็นสิ่งใดก็ตาม
จะเป็นสิ่งยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้
2. สิ่งเร้าที่น่าสนใจ (Stimulus) ก่อนที่จะเรียนรู้ได้จะต้องมีสิ่งเร้าที่น่าสนใจและน่าสัมผัส
สำหรับผู้เรียนเพื่อทำให้ผู้เรียนดิ้นรน ขวนขวายและใฝ่ใจที่จะเรียนรู้ในสิ่ง
ที่น่าสนใจนั้น ๆ
3. การตอบสนอง (Response) เมื่อมีสิ่งเร้าที่น่าสนใจและน่าสัมผัส
ผู้เรียน
จะทำการสัมผัสโดยใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น ตาดู หูฟัง ลิ้นชิม
จมูกดม ผิวหนังสัมผัส
และสัมผัสด้วยใจ เป็นต้น ทำให้มีการแปลความหมายจากการสัมผัสสิ่งเร้า
เป็นการรับรู้ จำได้ ประสานความรู้เข้าด้วยกัน
มีการเปรียบเทียบและคิดอย่างมีเหตุผล
4. การได้รับรางวัล (Reward) ภายหลังจากการตอบสนองผู้เรียนแล้ว
ผู้เรียนอาจเกิดความพึงพอใจ ซึ่งเป็นกำไรชีวิตอย่างหนึ่งจะได้นำไปพัฒนาคุณภาพชีวิต
เช่น การได้เรียนรู้ในวิชาชีพชั้นสูงจนสามารถออกไปประกอบอาชีพชั้นสูงได้
นอกจากจะได้รับรางวัล
ทางเศรษฐกิจเป็นเงินตราแล้ว ยังได้รับรางวัลเป็นเกียรติยศจากสังคม
เป็นศักดิ์ศรีและ
ความภาคภูมิใจทางสังคมอีกประการหนึ่งด้วย
3. การเรียนรู้ทางภาษา
ดังได้กล่าวมาแล้วในบทที่ 1 ที่ว่า ภาษาประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ เสียง
ความหมายและไวยกรณ์ และการที่เด็กเล็กเรียนภาษาได้นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ
หลายประการ อาทิ ความพร้อมด้านสรีรวิทยา (Physiological
Level) ซึ่งเป็นระบบทำงาน
ของเซลประสาท และระบบอวัยวะต่าง ๆ ในการรับฟัง
และพูดที่ถือเป็นปัจจัยภายในที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อีก เช่น
สิ่งแวดล้อม และสังคม อย่างไรก็ตามการที่เด็ก
จะเรียนรู้ภาษาได้ดีครูควรมีเทคนิควิธีการ ดังนี้ (ปรียาพร
วงศ์อนุตรโรจน์, 2543 : 114 – 115)
1. ครูควรตรวจสอบความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียนว่าได้มีความรู้เดิม
ในด้านภาษาเป็นอย่างไร
เพื่อจะได้จัดเนื้อหาใหม่ให้มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาเดิมของผู้เรียน
2. ตรวจสอบเนื้อหาวิชาด้านภาษาที่จะสอน
ให้มีความหมายกับผู้เรียน ซึ่งเป็น
สิ่งที่มีความจำเป็นเพราะสิ่งที่มีความหมายและการใช้บ่อยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ภาษาในระดับต้น
ๆ ครูจึงควรเตรียมเนื้อหาทั้งภาษาเขียน ภาษาพูด
ให้เหมาะสมกับวัยและชั้นของผู้เรียนด้วย
3. ตั้งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
และอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจกับสิ่งที่คาดหวังว่าจะให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ขึ้น
การเรียนรู้โดยการจูงใจหรือตั้งใจนั้นได้ผลสูงกว่าการเรียนโดยไม่ได้ตั้งใจ
ครูจึงจำเป็นต้องเตรียมผู้เรียนก่อนที่จะเริ่มเรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความตั้งใจ
และรู้วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการเรียน
4. จัดให้มีการฝึกหัดอย่างเหมาะสม การฝึกหัดกับการเรียนรู้ทางภาษาจำเป็นต้องมีคู่กันเสมอ
เพราะเป็นการให้ผู้เรียนได้มีโอกาสตอบสนองให้เกิดความชำนาญเพิ่มขึ้น
และเพื่อให้เกิดการจำได้นอกเหนือจากความเข้าใจ
ควรจะกำหนดบทเรียนให้เหมาะสมแก่การฝึกด้วย
รวมทั้งมีการทดสอบความรู้และความสัมฤทธิ์ผลในการเรียนจนเป็นที่พอใจ
5. ให้มีความรู้ที่จะตอบสนองได้อย่างถูกต้อง
การที่ผู้เรียนจะเกิดความรู้
ที่จะตอบสนองอย่างถูกต้อง
จำเป็นที่ครูจะต้องพิจารณาใช้การบอกแนะและการเสริมแรง
การบอกแนะและการเสริมแรงทำให้ผู้เรียนได้รู้วิธีที่ถูกต้อง
ทำให้การเรียนรู้ขั้นต่อไปง่าย
และเข้าใจดีขึ้น เช่น ความสามารถออกเสียงคำต่าง ๆ ได้ถูก
รู้ความหมายก็ทำให้อ่านเรื่องราว
ได้ดีขึ้น
6. จัดสภาพการณ์ที่ลดสิ่งขัดขวาง
โดยการพิจารณาเนื้อหาวิชาที่คล้ายคลึงกันและที่ใกล้เคียงกันให้นำมารวมเข้าด้วยกัน
และถ้าต่างกันก็ควรแยกแยะให้เห็นความแตกต่าง หากครูต้องการเน้นความแตกต่างก็ต้องแสดงให้เด่นชัด
7. จัดวิธีวัดผลที่เหมาะสม
โดยพิจารณาว่าตรงกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
ที่ตั้งไว้หรือไม่ รวมทั้งให้สอดคล้องกับพื้นฐาน
เนื้อหาที่ผู้เรียนได้รับด้วย
การเรียนรู้ทางภาษาของเด็กปฐมวัย
ครูสามารถจัดกิจกรรมพัฒนาภาษาของเด็กในช่วงของกิจกรรมตามตารางกิจกรรมประจำวัน
นั่นคือการจัดกิจกรรมตั้งแต่เช้าถึงเย็น
ในระหว่างเวลา 8.00 น. – 15.00 น. ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมพัฒนาทางภาษาของเด็ก
ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียนได้ดังตัวอย่าง
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2552 : 48 – 49) แต่ทั้งนี้ก็ไม่จำเป็นว่าต้องจัดตามตัวอย่างทุกช่วงเวลา
แต่ควรพิจารณาเลือกจัดตามความเหมาะสม โดยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละวัน
ตลอดจนดูความสนใจ
ของเด็กร่วมด้วย
ตารางที่
2 ตัวอย่างกิจกรรมประจำวันกับการเรียนรู้ภาษาของเด็ก
ช่วงกิจกรรม
|
ตัวอย่างกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาของเด็ก
|
|
|
กิจกรรมรับเด็ก
|
- ลงชื่อมาโรงเรียน/สนทนาเป็นรายบุคคล
|
กิจกรรมทักทาย
|
- ทำปฏิทินร่วมกัน
|
|
- สังเกตและทำบันทึกเกี่ยวกับสภาพอากาศประจำวัน
|
|
- สนทนาข่าวและเหตุการณ์
|
|
- นำสิ่งของมาแสดงและเล่าเรื่อง
|
กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
|
- ฟัง/ร้องเพลง
ฟัง/ท่องกลอน คำคล้องจอง และทำท่าทาง
ประกอบ |
|
|
ช่วงกิจกรรม
|
ตัวอย่างกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาของเด็ก
|
|
|
|
- ฟังคำบรรยาย
คำสั่ง แล้วตีความเพื่อตอบสนอง
อย่างเหมาะสม เช่น ปฏิบัติตามคำสั่ง/ข้อตกลง เคลื่อนไหว อิสระ |
กิจกรรมเสริมประสบการณ์
|
- อภิปรายร่วมกับเพื่อนและครู
|
|
- กิจกรรมการอ่านร่วมกัน
|
|
- กิจกรรมการเขียนร่วมกัน
|
|
- ฟังครูอ่านออกเสียง
|
กิจกรรมการอ่านตามลำพัง
|
- เลือกหนังสือตามความสนใจมาอ่านเงียบ
ๆ คนเดียว
|
กิจกรรมสร้างสรรค์
|
- เขียนบรรยายผลงาน
|
|
- เขียนบันทึกการปั้น/การประดิษฐ์/ศิลปะประเภทต่าง
ๆ
|
กิจกรรมเสรี
|
- อ่านอิสระในมุมหนังสือ
|
|
- เขียนอิสระในมุมเขียน/มุมที่สัมพันธ์กับหน่วย
|
|
- เล่าเรื่องซ้ำ
|
|
- ฟังครูอ่านออกเสียงในกลุ่มย่อย
|
กิจกรรมกลางแจ้ง
|
- การฟังเสียงต่าง
ๆ ในบริเวณโรงเรียน
|
|
- การอ่านป้ายต่าง
ๆ ในสิ่งแวดล้อมตามโอกาส
|
กิจกรรมอาหารกลางวัน
|
- บันทึกรายการอาหารที่เด็กรับประทาน
|
|
- ท่องกลอนหรือคำคล้องจอง
|
|
- สนทนากับเพื่อนอย่างอิสระ
|
กิจกรรมนอนพักผ่อน
|
- ฟังครูอ่านออกเสียงนิทานก่อนนอน
|
|
- ฟังเพลงที่ผ่อนคลายอย่างมีความสุข
|
กิจกรรมเกมการศึกษา
|
- เล่นเกมภาษา
|
|
- การสอนอ่านแบบชี้แนะ
(กลุ่มย่อย)
|
|
|
ตารางที่
2 (ต่อ)
ช่วงกิจกรรม
|
ตัวอย่างกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาของเด็ก
|
|
|
ก่อนกลับบ้าน
|
- ฟังครูอ่านออกเสียง
|
|
- อ่านอิสระในมุมหนังสือ
|
|
- เขียนอิสระในมุมเขียน
|
|
- เลือกหนังสือและยืมหนังสือกลับบ้าน
|
|
|
ความสัมพันธ์ของภาษากับการคิด
นักจิตวิทยาหลายท่านได้ให้ความเห็นพ้องกันว่าภาษากับการคิดมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
การคิดเป็นรูปของพฤติกรรมชนิดหนึ่งที่ใช้สัญลักษณ์เป็นตัวแทนของสิ่งของ
หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่สัญลักษณ์ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะคำต่าง ๆ ในภาษาที่เราใช้อยู่ทุกวัน
แต่ยังรวมไปถึงสัญลักษณ์ประเภทอื่น ๆ ด้วย เช่น เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์
ป้ายจราจร เป็นต้น แต่ภาษาก็เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้มากกว่าสัญลักษณ์ประเภทอื่น ๆ
ที่ต้องใช้การคิดเป็นพื้นฐาน
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : 3
– 4, 19)
ได้อธิบายว่า
สมองเริ่มมีปฏิบัติการทางภาษาจริงจังมาตั้งแต่ทารกอายุได้ราว 18 เดือน หรือ
1 ขวบครึ่ง สมองส่วนรับเสียงจะพัฒนาไปก่อน
ส่วนการเปล่งเสียงนั้นพัฒนาช้ากว่า ถ้าเราบอก
ให้เด็กขวบครึ่งทำอะไร เด็กก็ทำตามได้เขาเข้าใจ แต่ยังพูดไม่ได้
เพราะสมองยังไม่พร้อมสำหรับการพูดออกมา
พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัยเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
เพราะจะทำให้เด็กแสดงความคิดและตัวตนออกมาได้
นอกจากนี้นักประสาทวิทยาได้อธิบายไว้ว่า
สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ภาษานั้นไม่ได้ทำงานส่วนเดียวโดด ๆ ตามลำพัง
แต่มันทำงานร่วมกับส่วนรับภาพกล่าวคือ ขณะรับเสียง
สมองจะทำการประมวลผลข้อมูลจากเสียงที่ได้ยิน เช่น
ได้ยินคำว่า ดวงดาว ต้นไม้ ฯลฯ
จากนั้นสมองก็จะนำเสียงที่ได้ยินนั้นไปเชื่อมกับภาพที่จำได้ หรือภาพที่มองเห็น
จากนั้นสมองก็จะจัดการเก็บข้อมูลเสียงและภาพที่เชื่อมโยงกันทั้งหมดนี้เอาไว้ในความจำ
(memory) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการเรียนรู้ภาษาหรือเข้าใจภาษา
หรือเป็นความสัมพันธ์ของภาษากับการคิด
การคิดเป็นกระบวนการทำงานของสมองในส่วนที่เรียกว่านีโอคอร์เท็กส์
ซึ่งเป็นสมองส่วนที่มีหน้าที่เกี่ยวกับความฉลาดและการคิดของคน
ความฉลาดและความคิด
เป็นสิ่งที่มาจากความรู้สึกนึกคิดของสมอง
สมองจะมีความสามารถในการที่จะเรียนรู้
และมีประสบการณ์มากขึ้น เก็บข้อมูลได้มากขึ้น
มนุษย์เราเมื่อมีการรับรู้ข้อมูล ข้อมูลต่าง ๆ
จะถูกจัดเก็บโดยวิธีการจำ การคิด การให้เหตุผล การจัดโครงสร้าง
การเชื่อมโยงสัมพันธ์
การแก้ปัญหา หรือการผสมผสานระหว่างวิธีการต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
ส่วนผลผลิตมักจะออกมา
ในรูปของการใช้การเคลื่อนไหวร่างกาย ภาษาทั้งการพูด การเขียน
การแสดงท่าทาง การแสดงสีหน้าและแววตา การทำงานของการคิดนี้
ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ทำงานตามที่ควรจะเป็น
ผลก็คือมีความผิดปกติเกิดขึ้น
ในปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองในด้านกระบวนการคิดและกระบวนการเรียนรู้ว่าสมองทำงานอย่างไร
การแบ่งการทำงานของสมองโดยเฉพาะในด้านการควบคุม การคิด
ประสาทรับรู้และด้านการเคลื่อนไหวของสมองทั้ง 2 ซีก คือ
ซีกซ้าย
และซีกขวา สมองแต่ละซึกจะทำงานและมีหน้าที่ต่างกัน
สมองซีกซ้ายจะควบคุมการทำงานของร่างกายซีกขวา
ส่วนสมองซีกขวาจะควบคุมการทำงานของร่างกายซีกซ้าย สมองซีกซ้าย
จะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งนำเข้าในเชิงตรวจสอบวิเคราะห์พิจารณาในเชิงจัดระบบและ
เป็นเหตุเป็นผล
ซึ่งเป็นพื้นฐานสู่การเรียนรู้เชิงทักษะและเชิงเหตุผล เช่น กฎเกณฑ์ของการพูด
การอ่าน และคณิตศาสตร์
สมองซีกขวาจะควบคุมเกี่ยวกับความคุ้นเคยและพื้นฐานของพื้นที่ ความสามารถพิเศษ
การตระหนักของร่างกายและการยอมรับ การจำหน้าตา
การพัฒนาทางสติปัญญาด้านการคิด
จะเกิดขึ้นได้โดยเด็กจะต้องผ่านพัฒนาการ
ที่สำคัญ 4 ขั้น ที่เพียเจท์กล่าวถึง
สติปัญญาจะงอกงามได้ต้องเกี่ยวข้องกับโครงสร้างและ
การทำงานของสมอง ระบบของสติปัญญาจะเปลี่ยนแปลงเป็นขั้น ๆ
ตามประสบการณ์ที่เด็กได้รับ โดยสิ่งเร้าจะรวมเข้าไปในโครงสร้างของการคิดพัฒนาเป็นขั้นก่อนการคิดรวบยอด
และพัฒนาสู่ขั้นการคิดรวบยอด
การทำงานของสติปัญญาจะเริ่มจากการรับรู้และรวบรวมไว้กลายเป็นข้อมูลต่าง ๆ ในสมอง
การทำงานของสมองจะทำงานทั้งซีกซ้ายและซีกขวาไป
พร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะสมองซีกซ้ายนั้นจะทำงานเกี่ยวกับภาษา ความมีเหตุผล
คิดเป็นคำพูด หรือการใช้ภาษา ฯลฯ
สมองมีตำแหน่งรับรู้ต่าง ๆ กัน ได้แก่ ส่วนรับภาพ (Visual
Cortex) ส่วนรับเสียง (Auditory Cortex) ส่วนรับสัมผัสและรับรู้การเคลื่อนไหวส่วนต่าง
ๆ ของร่างกาย (Sensory Cortex) สมองส่วนต่าง ๆ
เหล่านี้จะพัฒนาขึ้นมาได้ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับการกระตุ้นของสิ่งแวดล้อมภายนอก
สมองของเด็กที่เข้าใจเกี่ยวกับภาพ เสียง และสัมผัสแบบต่าง ๆ
มีความสำคัญมาก เพราะข้อมูลจากภาพ เสียง
และสัมผัสเหล่านี้จะก่อรูปขึ้นเป็นเรื่องราว
ที่จะรับรู้ เข้าใจซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ได้ในที่สุด สมองส่วนหน้านั้นมีหน้าที่คิด
ตัดสินใจ เชื่อมโยงการรับรู้ไปสู่การกระทำที่เป็นลำดับขั้นตอน เช่น ฟังเข้าใจ
พูดสื่อสารออกมาได้
อ่านได้ ก็โดยการที่สมองส่วนหน้าจัดการเชื่อมโยงข้อมูลจากภาพ เสียง
และสัมผัสนำมาประมวลผล แล้วเปลี่ยนเป็นปฏิบัติเป็นลำดับก่อนหลังอย่างถูกต้อง
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. 2552 : 15)
การเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัย
เป็นการเรียนรู้ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับการคิด
ซึ่งเป็นพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็กปฐมวัย
การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดซึ่งกันและกันเพื่อให้มีความเข้าใจกันในสังคม
จำเป็นต้องใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเป็นสำคัญ
ภาษาถือได้ว่ามีหน้าที่ในการสื่อความคิด
คือเป็นสะพานเชื่อมโยงความคิดของมนุษย์ไปสู่
กันและกันได้
ดังนั้นภาษาและความคิดจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
บทสรุป
นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้ศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ภาษา
ไว้หลายทฤษฎี เช่นทฤษฎีของนักพฤติกรรมศาสตร์
ทฤษฎีสภาวะติดตัวโดยกำเนิด ทฤษฎี
ของนักสังคมศาสตร์
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาและทฤษฎีของนักจิตวิทยาภาษาศาสตร์ ซึ่งทุกทฤษฎีสรุปได้ว่า
การเรียนรู้ทางภาษาเกิดจากความพร้อมทางด้านร่างกาย สติปัญญา
การมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม การเสริมแรง
พัฒนาการทางภาษาเกิดขึ้นจากความพึงพอใจแห่งตน การเลียนแบบ การได้รับการเสริมแรง
ฯลฯ พัฒนาการทางภาษาของเด็กในระยะแรกประมาณ 1 เดือน
เด็กสามารถจำแนกเสียงต่าง ๆ ได้ และจะพัฒนาก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ
จนประมาณ 4 – 5 ปีเด็กจะสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจัยหรือองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็ก ได้แก่ วุฒิภาวะ
สิ่งแวดล้อม สถานภาพทางสังคม ฯลฯ อย่างไรก็ตามเด็กปฐมวัยจะเรียนรู้ภาษาได้ดี
เมื่อเด็กมีความพร้อม ซึ่งความพร้อมของเด็กสามารถสอนหรือเตรียมให้แก่เด็กได้โดยการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมให้แก่เด็ก
นอกจากนี้นักจิตวิทยาได้ให้แนวคิดไว้ว่าภาษาและการคิดมีความสัมพันธ์สอดคล้องกันอย่างใกล้ชิด
เพราะมนุษย์เมื่อมีการสื่อสารจะเก็บข้อมูลต่าง ๆ โดยวิธีการจำ
เด็กอายุขวบครึ่งเริ่มมีพัฒนาการของภาษาในส่วนที่รับเสียงและเปล่งเสียงพูด
แต่การพูดจะพัฒนาค่อนข้างช้ากว่าการฟัง
การจัดประสบการณ์ทางภาษาที่ดีให้แก่เด็กปฐมวัยครูควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกคิดในรูปแบบต่าง
ๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของสมองควบคู่ไปกับการใช้ภาษาของเด็ก ( อ้างใน:
เอกสารประกอบการสอน : นันทา โพธิ์คำ)
โดย: น.ส.พรรณิดา ผุสดี (แป้ง) โปรแกรมวิชาการศึกษาปฐมวัย ปี 2
หมู่ 2 ปีการศึกษา 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น