วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เนื้อหาที่ 1 การออกเสียงภาษาอังกฤษ


  • บทที่ 1 การออกเสียงภาษาอังกฤษ

    การออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับผู้ใช้ภาษาไทย
    บทความ การออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับผู้ใช้ภาษาไทย เป็นบทความที่กล่าวถึง การออกเสียงตามหลักโดยอ้างอิงตามเสียง ภาษาอังกฤษอเมริกัน (American English) เป็นส่วนใหญ่ บทความนี้ไม่ได้ใช้หลักการเขียนอ้างอิงตาม ราชบัณฑิตยสถาน เนื่องจากต้องการเน้นถึงการออกเสียงมากกว่า การเขียนคำทับศัพท์ สำหรับการออกเสียงอย่างละเอียด และสมบูรณ์ให้ดูที่ สัทอักษรสากล (IPA)
    บทความนี้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่ช่วยแนะนำสำหรับการเริ่มต้นการออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างง่าย เสียงคำศัพท์ต่างต่างสามารถฟังได้ที่เว็บไซต์พจนานุกรมทั่วไป เช่น พจนานุกรมภาษาอังกฤษของ ไมโครซอฟท์ หรือ พจนานุกรมภาษาอังกฤษของ Webster
    เสียงแทรก Y (Invisible Y)
    เสียงแทรก Y เป็นเสียงหลักที่ ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน แตกต่างจาก ภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ สำหรับตัวอักษร D, N, S, T, X
    คำที่ออกเสียง อู หลายคำจะมีเสียง Y แทรกในขณะที่ออกเสียง เช่น
    • university -- อ่านว่า /ยูนิเวอร์ซิตี้/ ไม่อ่านว่า อูนิเวอร์ซิตี้
    • value -- อ่านว่า Valyue อ่านว่า /แวล ยู/ หรือควบเป็น /แวลิว/ ฟัง เสียงคำว่า Value
    • vacuum -- vacyuum /แวค คยูม/
    • hue -- hyue /ฮิว/
    • cute -- cyute /คิวท์/
    แต่จะมีตัวยกเว้น ตัว J
    • jewelry -- จูว์ล์รี่
    • jew -- (คนชาวยิว) อ่านว่า ยู /joo/ ไม่ใช่ /jyoo/ ยิว
    แล้วตัวยกเว้นอีก คือถ้าเป็นอังกฤษอังกฤษ จะมี เสียง Y แต่ถ้า อเมริกันอังกฤษ จะไม่แทรกเสียง D, N, S, T, X
    เสียงแทรก E (Hidden E)
    ในภาษาอังกฤษ คำที่ประกอบด้วยตัวอักษร 2 ตัวซึ่งตัวที่สองเป็นตัวอักษร E จะมีการแทรกตัวอักษร E เข้าไปข้างหลังอีก
    • be - อ่านว่า บี เหมือน /bee/
    • me - อ่านว่า มี เหมือน /mee/
    คำที่มาจากภาษาญี่ปุ่น ที่ออกเสียง เอะ จะมีการอ่านออกเสียงผิด ในอเมริกา เช่นคำว่า
    • karaoke - คนอเมริกันจะอ่านเป็น คาราโอคี เหมือน karaokee ซึ่งต้องอ่านเป็น คาราโอเกะ
    • sake - คนอเมริกันจะอ่านเป็น ซาคี เหมือน sakee ซึ่งต้องอ่านเป็น สาเก
    • pokemon - คนอเมริกันจะอ่านเป็น โปกีมอน เหมือน pokeemon ซึ่งต้องอ่านเป็น โปเกมอน
    เสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษ
    เสียงพยัญชนะที่ยากต่อการออกเสียงของคนไทยคือ CH, G, L, R, S, SH, TH, V, W, X, และ Z
    เสียงพยัญชนะส่วนใหญ่จะเป็นไปตามที่มีการเรียนการสอน โดยเสียงบางคำจะมีการดัดแปลงให้ง่ายต่อการออกเสียง หรืออาจจะมีการอ่านตาม ภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ เสียงพยัญชนะทั้งหมดเรียงตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษดังนี้
    • B -- บ ใบไม้ เช่น boy บอย
    • C -- เป็นได้ทั้ง ซ โซ่ และ ค ควาย และ ก ไก่ โดยส่วนมากจะใช้
      • --CA, CO, CU -- ค ควาย เช่น car คาร์, come คัม, cute คิ้วท์
      • --CE, CI, CY -- ซ โซ่ เช่น cell เซลล์, city ซิตี้, cylinder ไซลินเดอร์
      • --SC -- ก ไก่ เช่น scar สการ์, screen สกรีน, scuba สกูบา
      • อย่างไรก็ตาม มีหลายคำที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนด
    • D -- ด เด็ก เช่น dog
    • F -- ฟ ฟัน เช่น fun
    • G -- จะไม่มีเสียงในภาษาไทย แต่จะเป็นเสียงควบของ ก ไก่ กับ ง งู หรือ เสียงควบของ จ จาน กับ ย ยักษ์
      • -- GA, GE, GO, GU - ออกเสียง ก-ง เช่น gas แก๊ส, get เก็ท, golf กอล์ฟ, gun กัน
      • -- GI - ออกเสียง จ-ย เช่น gigabyte จิกะไบต์ กับ gigantic ไจแกนติค
    • H -- อ่านว่า เอช (ในอังกฤษอเมริกัน) ออกเสียง เหมือน ห หีบ และ ฮ นกฮูก เช่น hello เฮลโล
    • J -- จ จาน เช่น jet เจ็ท
    • K -- เป็นได้ทั้ง ค ควาย และ ก ไก่ และเสียงเงียบ
      • เสียงต้น -- ค ควาย เช่น kilogram คิโลแกรม
      • SK -- ก ไก่ เช่น sky สกาย ski สกี
      • KN -- เสียงเงียบ (ไม่ออกเสียง) เช่น knee, นี knock, น็อค know โนว์
    • L -- คล้ายกับ ล ลิง สำหรับเสียงต้น และคล้ายกับเสียง น-ว แหวน สำหรับเสียงสะกด
      • เสียงต้น เช่น lance แลนซ์, look ลุก
      • เสียงสะกด เช่น mill มิลล์ (เรียกว่า dark L), oil โออิล
        • โดยเสียงของ ตัวอักษร L (เช่น oil, ni, fooll) ออกเสียงโดยการ ลากปลายลิ้นไปแตะที่ปลายฟันเหมือนออกเสียง th
        • การออกเสียงของ LL (เช่น will, full) ออกเสียงโดยการลากปลายลิ้นไปแตะที่ปลายฟันเหมือนออกเสียง th และลากโคนลิ้นไปแตะเพดานอ่อนพร้อมๆ กัน (เสียงจะคล้ายๆ ง-ว)
    • M -- ม ม้า เช่น money มั้นนี่
    • N -- น หนู เช่น no โน
    • P -- พ พาน หรือ ป ปลา
      • เสียงต้น -- พ พาน เช่น pest, เพสท์ Peter พีเทอร์
      • SP -- ป ปลา เช่น span สแปน, spark สปาร์ค, sport สปอร์ต
    • Q -- ค ควาย หรือ ก ไก่
      • QU -- ค ควาย ควบ ว แหวน เช่น queen ควีน
      • SQU -- ก ไก่ ควบ ว แหวน เช่น squid สกวิด, square สแกวร์
    • R -- คล้ายกับ ร เรือ สำหรับเสียงต้น และคล้ายกับคำว่า เออร์ สำหรับเสียงท้าย
      • เสียงต้น เช่น row โรว์
      • เสียงกลางประโยค เช่น born บอร์น
      • เสียงท้าย เช่น fire ไฟเออร์ เสียง R
        • โดยเสียงของ ตัวอักษร R ออกเสียงโดยการ ลากลิ้นไปแตะที่เพดานปากด้านบนส่วนหลัง เหมือนคำว่า fire อ่านว่า ไฟ แล้วลากลิ้นไปแตะที่เพดานปาก เสียง เออร์ จะออกมาคล้ายกับเสียง ไฟเออร์
    • S -- เสียงต้น ออกเสียง ส.เสือ ถ้าเป็นเสียงลงท้าย ออกเหมือนเสียง ซือออออ ให้เสียงเหมือนลมผ่านช่องกระจก โดยพูดให้เพียงแค่ลมออกจากปาก และลำคอไม่สั่น เป็นเสียงแบบ voiceless)
      • เสียงต้น S -- sock ซ๊อกค์
      • เสียงท้าย S -- case เคส
    • T -- ท ทหาร หรือ ต เต่า
      • เสียงต้น -- ท ทหาร เช่น tank แทงก์
      • ST -- ต เต่า เช่น street สตรีท, star สตาร์
    • V -- เสียงเหมือน ว แหวน โดยเป็นเสียงที่ใกล้เคียง กับ V F และ B พูดโดยการกัดริมฝีปาก ก่อนออกเสียง ว แหวน เช่น vail เวลล์
    • W (ดับเบิ้ล ยู แต่พูดเร็วเร็ว ก็กลายเป็น ดับ-บ-ลิว) -- เสียงเหมือน ว แหวน แต่มีเสียงก้องในปาก พูดโดยการ ทำปากจู๋ก่อนแล้วตามด้วยออกเสียง ว.แหวน เช่น wow วาว
    • X -- เสียงต้น เป็นเสียง ส เสือ และ ซ โซ่ เสียงท้าย เหมือน ค ควาย รวมกับ เสียง เอส
      • เสียงต้น -- xylem ไซเร็ม
      • เสียงท้าย -- box บ็อกซือ
    • Y -- ย ยักษ์ เช่น young ยัง, you ยู
    • Z -- (อ่านว่า ซี ในอังกฤษอเมริกัน หรือที่อ่านกันว่า เซท ในอังกฤษสำเนียงอื่น - แต่คนไทยออกเสียงว่า แซด) เสียงเหมือน ส เสือ และ ซ โซ่ เช่น zebra ซี-บร่า
      • เสียงอักษร Z ต่างกับ ตัวอักษร C โดยเวลาพูดจะมีการสั่นของเสียง (voice sound) โดยเมื่อเอามือจับที่ใต้ฟันล่าง แล้วพูดเสียงจะมีการสั่นของลำคอ เหมือนกับการออกเสียง บ ใบไม้ กับ พ พาน หรือ เสียง ด เด็ก กับ ท ทหาร (z, บ ใบไม้, พ พาน เป็น เสียงสั่น)
    • ตัวอักษรCH ออกเสียงได้ 3 แบบ ได้แก่ /CH/ /SH/ สำหรับคำที่มาจากภาษาฝรั่งเศส เช่น champaign, Chicago /K/ สำหรับคำที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ การศึกษา ดนตรี ประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษากรีก เช่น chaos, stomach, architecture
    • CH -- เสียง ช ช้าง เหมือนเสียง ท ทหาร ตามด้วยเสียง ช ช้าง พูดโดยการ เอาลิ้นแตะโคนฟัน แล้วพูด เฉอะ
    • SH -- เสียง ช ช้างปกติ
      • คำที่เสียงแตกต่างกัน ในขณะที่เสียงไทยใกล้เคียงกัน เช่น ship chip, sheep cheap, shop chop ทดสอบที่โปรแกรมทดสอบแม่แบบ:Fn
    • CH -- เสียง ค ควาย ก็ได้ ถ้าคำที่ใช้ มาจาก กรีก เป็นในทางความหมาย ทาง ประวัติศาสตร์ ดนตรี การแพทย์ การศึกษา ประมาณนี้ เช่น
      • chaos เคออส ความวุ่นวาย stomachache สโตมัคเอค chorus คอรัส
    • TH -- เสียงนี้ ไม่มีของไทย แต่ใกล้เคียงกับ /ด/ /ต/ /ส/ (เชื่อมั้ยละ ว่ามันใกล้กับ ส) เวลาออกเสียง เริ่มแรก กัดลิ้นเบาเบา แล้วพูด เช่น * THAT หรือว่า BATH พูดแล้วตอนจบกัดลิ้น THANK YOU กัดลิ้นแล้วพูดดู ไม่ใช่ แต้งกิ้ว แต่มันจะเป็นเสียง ผสม /ต//ซ/
    เสียงสระในภาษาอังกฤษ
    สระในภาษาอังกฤษ ประกอบไปด้วย ตัวอักษร A E I O U แต่ในการใช้สระ จะมีการใช้ผสมกันดังต่อไปนี้
    • ee -- เสียงอี เช่น ฟีด feed
    • i -- เสียงอิ เช่น ฟิน fin
    • i -- เสียงไอ เช่น ไบ bi (ถ้าไม่มีตัวอะไรต่อท้าย ส่วนมากจะเป็น) ไอ แต่บางทีก็ไม่ใช่
    • a_e -- เสียง เอ เช่น เฟด fade
    • e -- เสียง เอะ เช่น เฟ็ด fed
    • a -- เสียง a มันจะเป็นเสียงกึ่งระหว่าง แอะ กับ อะ วิธีออกเสียง ให้อ้าปากกว้างสุด แล้วพูด เป็นเสียงระหว่างเสียง แฟด กับ ฟัด fad
    • u -- เสียง เออะ เช่น เคอะ-พ cup
    • o -- คล้ายเสียง เออะ แต่อ้าปากกว้าง cop
    • oo -- boot เสียงสระอู
    • ull -- bull เสียงที่อยู่ระหว่าง สระ อุ กับสระอู
    • o_e -- bone เสียง โอ
    • i_e -- fine เสียง ไอ
    • oi -- coin เสียง ออย
    • ou -- round เสียง อาว
    นอกจากนี้ สระที่อ่านออกเสียงแปลกจากสระทั่วไป เนื่องจากมาจาก ภาษาอังกฤษเดิม หรือ ภาษาอื่น เช่นฝรั่งเศส หรือเยอรมัน เช่น
    • come -- อ่านเหมือน cum เป็นภาษาอังกฤษเดิม ที่ มาจากคำว่า cume
    • dove -- อ่านว่า /ดัฟ/ มาจาก duv สำหรับ คำที่เป็นอดีตของ dive (dove) อ่านว่า โดฟ
    • entree -- /อองเทร/ อาหารมื้อหลัก มาจากภาษาฝรั่งเศส
    • hors d'œuvre -- ออร์เดิร์ฟ
    คำที่มาจากภาษาอื่น ในปัจจุบันคนอเมริกันทั่วไปยังมีการใช้ผิดกันเกิดขึ้น
    อักษรเงียบ (Silent Letters)
    คำในภาษาอังกฤษมากกว่า 60% มีตัวอักษรที่ไม่ออกเสียง หรือ อักษรเงียบ (อังกฤษ:Silent Letters) ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของตัวอักษรในคำต่างๆ ที่ไม่ต้องออกเสียง
    • A
      • ea- เช่น treadle (เทร็ดเดิล) bread (เบร็ด) thread (เธร็ด)
      • คำที่ลงท้ายด้วย -cally ทั้งหลาย (ซึ่ง al จะไม่ออกเสียง) เช่น technically (เทค-นิค-ลี) logically (ลอ-จิค-ลี) politically (โพ-ลิ-ติค-ลี)
    • B
      • -mb เช่น lamb (แลม) bomb/bomber (บอม/บอมเมอร์) comb (คม) numb (นัม) thumb (ธัม) tomb (ทูม)plumb/plumber พลัม/พลัมเมอร์
      • -bt เช่น debt (เด็ท) doubt (เดาท์) subtle (ซัทเทิล)
    • C
      • sc- เช่น scissors (ซิสเซอร์ส) science (ไซแอนซ์) scent (เซนท์) muscle (มัสเซิล)
      • คำอื่นๆ เช่น acquit (อะควิท) acquire (อะไควร์) czar (ซา/ซาร์) yacht (ย็อท/ย้าท)victual (วิทัล ) indict/indictable (อินไดท์/อินไดเทเบิล) Tucson (ทูซอน) Connecticut (คอนเนทิคัท)
    • D
      • -dg- เช่น edge (เอ็จ) bridge (บริจ) ledge (เล็จ)
      • -nd- เช่น handkerchief (แฮงเคอชิฟ) handsome (แฮนซัม) landscape (แลนสเกป) sandwich (แซนวิช) Windsor (วินเซอร์) รวมทั้ง grand ต่างๆ ที่เป็นปู่ย่าตายาย เช่น grandma/grandmother grandpa/grandfather grandson/granddaughter และ Wednesday (เวนสเดย์ ตัว e ก็เงียบด้วย)
    • E
      • ส่วนใหญ่ที่ตามท้ายตัวสะกดจะไม่ออกเสียง เช่น fame (เฟม) serve (เซิฟ/เซิร์ฟ) rite (ไรท์) more (มอร์) clue (คลู) vogue (โว้ก) corpse (คอร์พส)
      • คำกริยาหลายๆ คำที่ลงท้ายด้วย -en พอเติม -ing หรือ -er ตัว e (และตัว n) ก็จะไม่ออกเสียง เช่น fastening/fastener (ฟาสนิง/ฟาสเนอร์) whitening/whitener (ไวท์นิง/ไวท์เนอร์) softening/softener (ซอฟนิง/ซอฟเนอร์)
    • F -- halfpenny (เฮพนี)
    • G
      • -gn เช่น align (อะไลน์) design (ดีไซน์) gnash (แนช) reign (เรน) champagne (แชมเพน) resign (รีไซน์ แต่ออกเสียงตัว g ใน resignation เรสิกเนชัน)
      • -gh (ซึ่งจะไม่ออกเสียงทั้ง g และ h) เช่น light (ไลท์) high (ไฮ) eight (เอท) straight (สเตรท)
      • คำอื่นๆ เช่น diaphragm (ไดอะแฟรม)
    • H
      • wh- เช่น what (ว็อท) where (แวร์) when (เว็น) whisper (วิสเพอร์) whistle (วิสเซิล)
      • xh- เช่น exhaust (เอ็กซอสต์) exhibition (เอ็กซิบิชัน) exhibit (เอ็กซิบิท)
      • h นำหน้าสระ honor/honour (ออเนอร์) honest (ออเนสต์) hour (อาวร์) heir (แอร์)
      • คำอื่นๆ เช่น ghost (โกสต์) khaki (กากี) rhyme (ไรม์) school (สคูล) Thames (เทมส์) Pooh (พู)
    • I -- business (บิสเนส)
    • J -- ไม่มี
    • K -- kn- เช่น knee (นี) know (โน) knight (ไนท์) knowledge (นอเล็จ)
    • L
      • -al- เช่น talk (ทอค) walk (วอค) chalk (ชอค) calf (คาฟ) half (ฮาฟ) psalm (ซาม) calm (คาม) salmon (แซมอน) almond (อามอนด์)
      • -ol- เช่น folk (โฟค) yolk (โยค)
      • could/should/would (คู้ด/ชู้ด/วู้ด)
    • M -- mnemonic (นีโมนิค) grammar (แกรมาร์ ออกเสียงตัว m แค่ตัวเดียว)
    • N
      • -mn เช่น autumn (ออทัม) condemn (คอนเด็ม) damn (แดม) hymn (ฮิม) column (คอลัม แต่ออกเสียงตัว n ใน columnist คอลัมนิสต์)
      • คำอื่นๆ เช่น monsieur (เมอซู)
    • O -- leopard (เล็พเพิด) jeopardy (เจ็พเพอดี)
    • P
      • pn- เช่น pneumatic (นิวแมติก) pneumonia (นิวมอเนีย)
      • ps- เช่น psychology (ไซโคโลจี) pseudo (ซูโด) psalm (ซาม) corps (เอกพจน์อ่าน โค พหูพจน์อ่าน โคส)
      • pt- เช่น ptomaine (โทเมน) Ptolemy (โทเลมี) receipt (รีซีท)
      • pb- เช่น cupboard (คับบอร์ด) clapboard (คลับบอร์ด) Campbell (แคมเบล)
      • คำอื่นๆ เช่น coup (คู) raspberry (ราสเบอรี)
    • Q -- ไม่มี
    • R
      • diarrhea (ไดอะเรีย ออกเสียง r ตัวเดียว)
      • ใน British English ตัว r ที่อยู่หน้าพยัญชนะหรือสระตัวอื่น จะเป็นอักษรเงียบ เช่น card (ค้าด) fork (ฟ้อค) แต่ใน American English จะออกเสียง (คาร์ด ฟอร์ค)
    • S
      • -sl เช่น isle (ไอล์) island ไอแลนด์ aisle (ไอล์ เหมือน isle เลย a ตัวแรกก็เงียบด้วย)
      • คำอื่นๆ เช่น Illinois (เอ็ลลินอย) bourgeois (เบอร์จัว)viscount (ไวเคานท์) fracas (เฟรคา แต่คำนี้อเมริกันออกเสียงตัว s ด้วย จะออกเป็น เฟรคัส) debris (เดบรี) apropos (อัพโพรโพ)
    • T
      • st- เช่น listen (ลิสซึน) fasten (ฟาสเซน) castle (คาสเซิล) rustle (รัสเซิล) asthma (แอสมา) Christmas (คริสมาส) tsunami (ซูนามิ)
      • -et เช่น ballet (บัลเล) buffet (บัฟเฟ) gourmet (อังกฤษ กัวเม อเมริกัน กัวร์เม)
      • ft- เช่น soften (ซ็อฟเฟน) often (อ็อฟเฟน แต่คำนี้ออกเสียงตัว t ด้วยก็ได้ อ็อฟเทน)
      • rapport (รัพพอร์)
    • U -- u ที่นำหน้าสระ ไม่ออกเสียง เช่น guard (กาด/การ์ด) guess (เกส) build (บิลท์) guide (ไกด์) four (ฟอ/ฟอร์ เหมือน for) tongue (ทังก์) colleague (คอลลีก) cheque (เช็ค)
    • V -- ไม่มี
    • W
      • wr- เช่น write (ไรท์) wrong (รอง) wrist (ริสต์)
      • sw- เช่น sword (ซ้อด) answer (อานเซอร์)
      • wh- เช่น whore (ฮอร์) whole (โฮล) who (ฮู)
      • rw- เช่น Norwich (นอริช) Warwick (วอริค)
      • คำอื่นๆ เช่น two (ทู) Greenwich (กรีนนิช)
    • X -- faux pas (โฟ พา) Sioux (ซู)
    • Y -- say (เซ) mayor (เมเออร์/แมร์)
    • Z -- rendezvous (รอนเดวู) laissez-faire (ลัซเซแฟร์) chez (เช)
    การเน้นเสียง (stressing)
    การเน้นเสียงในภาษาอังกฤษทำได้โดยการทำให้เสียงดังขึ้น หรือทำให้เสียงสูงขึ้น
    การเน้นเสียงของคำ
    คำศัพท์แต่ละคำ จะมีการเน้นเสียงในแต่ละที่ ขึ้นอยู่กับคำ สามารถตรวจสอบได้โดยการเปิดดิกชันนารี ตัวอย่างเช่น
    (ตัวใหญ่คือเสียงที่เน้น)
    • Option --/OP-tion/ เสียงเหมือน อ้อป-ชัน
    • canal -- /ca-NAL/ เสียงเหมือน คะ-แนล (ลากเสียง แนล)
    • deposit -- /de-PO-sit/ เสียงเหมือน ดิ-พ้อ-สิท
    • spaghetti --/spa-GHET-ti/ สเปอะ-เก๊ต-ทิ อันนี้แปลกหน่อย เน้นตัวที่สาม
    การเน้นเสียงในประโยค
    ในประโยคจะมีการเน้นเสียงหลายจุด ยกเว้นคำที่เป็น pronoun และ preposition และคำท้ายสุดของประโยคจะมีการเน้นเสียงหนักสุด ที่เรียกว่า เสียงเน้นหลัก(Primary Stress) เช่น
    • If you don't want to add a poll to your topic.
      • If you don't want to add a poll to your topic.
    • I don't think that control is in OPEC's hands.
      • อ่านเป็น don't think that control is in OPEC's hands.
    เสียงเชื่อม (Linking)
    เสียงเชื่อมเป็น เสียงต่อเนื่อง ระหว่างคำที่อ่านต่อเนื่องกัน โดยเสียงสะกดของคำแรก จะออกเสียงต่อเนื่องมาเป็นเสียงพยัญชนะต้นของคำที่สอง ตัวอย่างเช่น
    • It's a book - จะออกเสียงเหมือน /its-sa-book/ อ่าน อิทซ์-ซะ-บุ้ค ไม่ใช่ อิทซ์-อะ-บุค
    • Can you add a poll? - จะออกเสียงเหมือน /can-you-add-da-poll/ อ่าน แคน-ยู-แอด-ดะ-โพล โดยคำว่า อะ จะออกเสียงเป็น ดะ เนื่องจากเสื่องเชื่อมจากคำสะกดของคำหน้า
    • Weekend - จะออกเสียงเหมือน /week-kend /อ่าน วีคเค็นด์ โดยคำว่า เอ็นด์ จะออกเสียงเป็น เค็นด์ เนื่องจากเสื่องเชื่อมจากคำสะกดของคำหน้า
    • L.A. - จะออกเสียงเป็น /L-la /อ่าน แอว เล ไม่ใช่ แอว เอ
    • Vineyard (ไร่องุ่นทำไวน์) - จะออกเสียงเป็น /Vin-neard/อ่าน ฝวินเนียร์ด ไม่ใช่ วายยาด
    • bald eagle (นกอินทรีย์หัวขาว) - จะได้ยินเป็น /bal-dea-gle/ บอว์ ทีเกิ้ล หรือ บอว์ ดีเกิ้ล
    เสียงสูงต่ำ ท้ายประโยค
    เสียงสูงต่ำท้ายประโยคขึ้นอยู่กับความหมายของประโยค โดย
    • ประโยคธรรมดา ลงเสียงต่ำ
      • I like coffee ลงเสียงต่ำที่คำว่า coffee อ่าน คอป-ฟี
    • ประโยคคำถาม ที่ถามว่า ใช่หรือไม่ ขึ้นเสียงสูง (รวมถึงประโยคที่เป็น tag question)
      • Do you like coffee? ขึ้นเสียงสูงตรงคำว่า cofee อ่าน คอป-ฟี้
    • ประโยคคำถาม ที่ถามหาคำตอบ ลงเสียงต่ำ
      • What do you like ? ลงเสียงต่ำตรงคำว่า like อ่าน ไหลค์
    สำหรับประโยคเดียวกัน ที่ออกเสียงต่างกัน จะทำให้ความหมายต่างกัน เช่น
    • Do you like tea or coffee?
      • ถ้าพูด คำว่า coffee ลงเสียงต่ำ ประโยคนี้จะมีความหมายว่า "อยากได้ ชาหรือกาแฟ (โดยให้เลือกเอา)"
      • ถ้าพูด คำว่า coffee ขึ้นเสียงสูง ประโยคนี้จะมีความหมายว่า "อยากได้ ชาหรือกาแฟไหม (โดยถามว่า เอาหรือไม่เอา)"
    เสียงท้าย -s, -es, -ed
    • -s ก็ตามด้วย เสียง s ปกติ คือ ลากเสียง s ออกไปตอนจบประโยค
    • -es เจ้าของภาษาจะออกเสียง /อิส/ แต่ตามความคุ้นเคยของคนไทยมักออกเสียงชัดเจนว่า /เอส/ อย่างเช่น
      • boxes -- บ้อกซิส (เจ้าของภาษา) บ๊อกเซส (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
      • glasses -- แกล็สซิส (เจ้าของภาษา) กลาสเสส (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
    • -ed อันนี้มีสองแบบ ถ้าตามด้วย ตัว T หรือ D จะเสียง /เอ๊ด/ หรือ /อึ๊ด/ แต่ถ้าไม่ใช่ให้ ออกเสียง /เดอะ/
      • reloaded -- รีโหลดดิด (เจ้าของภาษา) ลีโล้ดเด๊ด (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
      • wanted -- ว้อนถิด (เจ้าของภาษา) ว้อนเต๊ด (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
      • notified -- ก็ไม่มีเสียง ed แต่จะมีเสียง d ในลำคอ
    เสียงพยัญชนะท้าย
    • หลายๆคำที่มีพยัญชนะท้ายจะมีเสียงเบาๆที่ไม่ควรละ
      • เสียง -nd เช่น finding ออกเสียง ฟาย(อืน)ดิ่ง หรือ บางครั้งอาจได้ยิน ฟายนิ่ง
      • เสียง -ne เช่น line ออกเสียง ละอิน (รวบเป็นหนึ่งพยางค์) ต่างจาก lie ออกเสียง ลาย
      • เสียง -le เช่น mobile ออกเสียง โม-บะอิล (สองพยางค์) หรือ บางครั้งอาจได้ยิน โม-บึล
      • เสียง -le เช่น file ออกเสียง ฟะอิล (รวบเป็นหนึ่งพยางค์) หรือ บางครั้งอาจได้ยิน ฟาว ต่างจาก fine ออกเสียง ฟาย(อืน) หรือ fire ออกเสียง ฟายเออ
    คำผสม (compound noun)
    คำผสม จากคำนามสองคำ การออกเสียง ให้ขึ้นเสียงสูงตรงกลาง แล้วลงต่ำตอนท้าย. เช่น:
    • คำว่า greenhouse / green house
      • คำผสม greenhouse (บ้านที่เป็นเรือนกระจก) ขึ้นเสียงตรง green และลงต่ำตรง house เสียง
      • คำปกติเรียงกัน green house (บ้านสีเขียว) ออกเสียงตามปกติ. ไม่ต้องขึ้นลงเสียง.
    • คำว่า English teacher
      • คำผสม หมายถึง ครูสอนภาษาอังกฤษ ขึ้นเสียงตรง English ลงตรง teacher
      • คำปกติเรียงกัน หมายถึง ครูชาวอังกฤษ ออกเสียงตามปกติ
    อ้างอิง
    • Basic Pronunciation for beginners, Jill Knutson
    • Speech Craft, Workbook for academic discourse, Laura D. Hann, Wayne B. Dickerson
    ดูเพิ่ม
    แหล่งข้อมูลอื่น
    เครื่องมือช่วยศึกษา

    • ฟังเสียงจริงจากพจนานุกรมภาษาอังกฤษ
    • พูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทยให้ถูกต้อง : หนังสือแนะนำการออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับคนไท
    • ตัวอย่างเสียงภาษาอังกฤษจากคอมมอนส์
    • โปรแกรมทดสอบการฟังเสียงภาษาอังกฤษสำหรับคนไทย
    • แนะนำ 5 เทคนิคออกเสียงภาษาอังกฤษให้เป๊ะสุดๆ
      การพูดภาษาอังกฤษให้คล่องเป็นสิ่งที่คนไทยหลายๆคนพยายามฝึกฝนมาโดยตลอด แต่การที่เราจะพูดภาษาอังกฤษได้นั้นต้องอาศัยการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษให้ได้เสียก่อน ปัญหาคือ คำศัพท์ภาษาอังกฤษมีทั้งหมดประมาณ 1 ล้านกว่าคำ แล้วจะจำวิธีออกเสียงให้หมดได้ยังไงล่ะ?
      ง่ายมากเลยครับ ในจำนวนนี้ มีไม่น้อยเลยที่ลงท้ายด้วย prefix และ suffix ต่างๆ ถ้าเราออกเสียงคำขึ้นต้น/ ลงท้ายเหล่านี้ได้ถูกต้อง ก็จะเป็นเหมือนแม่แบบที่เอาไปใช้ได้กับคำศัพท์มากมายเลยทีเดียว ผมเอา suffix ยอดนิยมที่เรามักจะอ่านออกเสียงผิดบ่อยๆมาฝากครับ
      1. คำที่ลงท้ายด้วย -tion
      ออกเสียงถูก เฉิ่น
      ออกเสียงผิด ชั่น
      ยกตัวอย่างเช่น nation มองปุ๊บสัญชาตญาณบอกให้เราอ่านว่า “เนชั่น” ทันที แต่ถ้าจะออกเสียงให้เหมือนคุณฝรั่งทั้งหลาย…ก็ให้อ่านว่า “เนเฉิ่น”
      2. คำที่ลงท้ายด้วย -ing
      ออกเสียงถูก อิ่ง
      ออกเสียงผิด อิ้ง
      อย่างคำว่า working จริงๆแล้วต้องอ่านว่า “เวิร์คคิ่ง” ไม่ใช่ “เวิร์คกิ้ง”
      3. คำที่ลงท้ายด้วย -ment
      ออกเสียงถูก เหม่นท์
      ออกเสียงผิด เม้นท์
      คำยอดนิยมอย่าง comment มีแต่คนอ่านว่า คอมเม้นๆๆ ทั้งนั้น กับคนไทยโอเค เข้าใจกัน แต่ถ้าอยากออกเสียงแบบสำเนียงฝรั่งก็ให้อ่านว่า “คอม-เหม่นท์” นะครับ
      4. คำที่ลงท้ายด้วย -er/-or
      ออกเสียงถูก เอ่อ
      ออกเสียงผิด เอ้อ, อ้อ
      เช่นคำว่า teacher เราพูดกันอย่างติดปากว่า “ทีชเช่อ” แต่จริงๆแล้วต้องอ่านว่า “ทีชเฉ่อะ”
      5. คำที่ลงท้ายด้วย -ty -ly -ry
      ออกเสียงถูก ถี่ หลี่ หรี่
      ออกเสียงผิด ตี้ ลี่ รี่
      อย่าออกเสียงว่า ตี้ ลี่ รี่ ให้ออกเสียงว่า ถี่ หลี่ หรี่ เช่น city ให้ออกเสียงว่า ซิถี่ นอกจากนั้นคำที่ลงท้ายด้วย y อย่าง moneyก็ให้ออกเสียงพยางค์สุดท้ายสั้นๆเป็น มัน-นิ่ ก็พอครับ
      ฝึกออกเสียง suffix เหล่านี้ให้ถูกต้องก็สามารถช่วยให้เราพูดภาษาอังกฤษได้อย่าง “เป๊ะ” สุดๆไปเลย สังเกตว่าเคล็ดลับคือการไม่ลากเสียงยาวจนเกินไป แต่ต้องออกเสียงพยางค์สุดท้ายให้สั้นเข้าไว้ แล้วสำเนียงฝรั่งมันจะออกมาเอง ไม่เชื่อลองดู ^^ ขอให้พูดภาษาอังกฤษกันได้คล่องแคล่วกันทุกคนนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น