เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษ
10 วิธี
ทุกวันนี้ การเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้มีวิวัฒนาการ
และมีทฤษฎีการสอนหลากหลายวิธี ที่ครูจะเลือกแนวทางที่เหมาะสมนำไป
ดัดแปลงใช้สอนนักเรียนแต่ละคน ดังวิธีสอนต่อไปนี้
1.วิธีการสอนไวยากรณ์และการแปล
( Grammar Transalation ) เป็นวิธีการสอนที่เน้นกฎไวยากรณ์และใช้การแปลเป็นสื่อให้นักเรียนเข้าใจบทเรียน
ลักษณะเด่น
1.1ครูจะบอกและอธิบายกฎเกณฑ์ตลอดจนข้อยกเว้นต่างๆ
1.2ในด้านคำศัพท์ ครูจะสอนครั้งละหลายคำ บอกคำแปลภาษาไทย
บางครั้งเขียนคำอ่านไว้ด้วย
1.3ครูเน้นทักษะการอ่าน และการเขียน
1.4ครูเน้นวัดผลด้านความรู้ ความจำ คำศัพท์ กฎเกณฑ์ ความสามารถในการแปล
1.5ครูมีบทบาทสำคัญมากที่สุด
1.6นักเรียนเป็นผู้รับฟัง และจดสิ่งที่ครูบอกลงในสมุด
1.7นักเรียนจะต้องท่องจำกฎเกณฑ์ตลอดจนชื่อเฉพาะต่างๆ ทางไวยากรณ์นั้นๆ
1.8นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่สอดคล้องกับเกณฑ์ไวยากรณ์นั้นๆ
1.9นักเรียนได้ฝึกนำศัพท์มาใช้ในรูปประโยค
2.วิธีสอนแบบตรง เป็นวิธีการสอนที่เน้นทักษะการฟัง
และพูดให้เกิดความเข้าใจก่อน แล้วจึงฝึกทักษะการอ่านและการเขียน โดยมีความเชื่อว่า
เมื่อนักเรียนสามารถฟังและพูดได้แล้ว ก็จะสามารถอ่านและเขียนได้ง่าย และเร็วขึ้น
ไม่เน้นไวยากรณ์มากนัก บทเรียนส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมการสนทนา
นักเรียนได้ใช้ภาษาเต็มที่
ลักษณะเด่น
2.1ครูคอยกระตุ้นให้นักเรียนพูดโต้ตอบ
2.2ครูสร้างสภาพแวดล้อมหรือใช้สื่อที่เอื้อต่อการเรียนการสอน
2.3อธิบายคำศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ และใช้ตัวอย่างประกอบเป็นของจริง
2.4การวัดผลเน้นทักษะการฟัง และพูด เช่น การเขียนตามคำบอก
การปฏิบัติตามคำสั่ง
3.วิธีสอนแบบฟัง-พูด ( Audio-Lingual Method ) เป็นวิธีการสอนตามหลัก
ภาษาศาสตร์ และวิธีการสอนตามแนวโครงสร้าง เป็นการสอนตามหลักธรรมชาติ คือ ฟัง พูด
อ่าน และเขียน สอนครบองค์ประกอบตามลำดับจากง่ายไปหายาก
ลักษณะเด่น
3.1ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาที่เรียนให้แก่ผู้เรียนในการเลียนแบบ
3.2ครูจะจัดนำคำศัพท์และประโยคมาสร้างเป็นรูปประโยคให้นักเรียนพูดซ้ำๆกัน
ในรูปแบบที่
แตกต่างกัน
3.3ครูมุ่งเรื่องการฝึกรูปประโยคทางภาษาในห้องเรียนมากกว่าประโยชน์การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน
3.4นักเรียนจะต้องฝึกภาษาที่เรียนซ้ำๆ
3.5นักเรียนเป็นผู้ลอกเลียนแบบ และปฏิบัติตามครูจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยากจนเกิดเป็นนิสัย
สามารถพูดได้อย่างอัตโนมัติ
4.วิธีการสอนตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบความรู้ความเข้าใจ ( Cognitive
Code Learning Theory ) วิธีการสอนแบบนี้ยึดแนวคิดที่ว่า
ภาษาเป็นระบบที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ความเข้าใจ และการแสดงออก ทางภาษาขึ้นอยู่กับความเข้าใจ
กฎเกณฑ์ เมื่อผู้เรียนมีความเข้าใจในรูปแบบของภาษาและความหมายแล้ว
ก็จะสามารถใช้ภาษาได้
ลักษะเด่น
4.1ครูมุ่งฝึกทักษะทุกด้านตั้งแต่เริ่มสอน
โดยไม่จำเป็นต้องฝึกฟังและพูดให้ดีก่อน แล้วจึงอ่านและเขียนตามวิธีสอนแบบฟัง-พูด (
Audio-Lingual Method )
4.2ครูสอนเนื้อหาแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับความต้องการที่แตกต่างของนักเรียน ที่มีความสามารถในทักษะการฟัง พูด
อ่าน เขียน ที่แตกต่างกัน
4.3สนับสนุนให้ผุ้เรียนใช้ความคิด สติปัญญา
และมีความรู้สึกที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ
4.4ใช้ภาษาไทยในการช่วยอธิบาย แต่อธิบายเฉพาะในเรื่องการฟังและพูด
4.5การวัดและประเมินผลในด้านภาษาของนักเรียนนั้น คือ
ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาแต่ละขั้นตอน
5.วิธีการสอนตามเอกัตภาพ ( Individualized Instruction ) ในรูปแบบนี้ ผู้เรียนเริ่มมีบทบาทจากการเป็นผู้รับเพียงฝ่ายเดียวมาเป็นผู้ที่มีส่วนร่วม
ในการเรียนการสอนมากขึ้นเป็นลำดับ
ลักษณะเด่น
5.1การสอนเปลี่ยนจากครูเป็นหลัก กลายเป็นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
5.2ครูพยายามให้นักเรียนมีโอกาสศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละบุคคล
ให้ได้มากที่สุด
5.3ครูจะเตรียมสื่อ เอกสาร บทเรียน โปรแกรม ชุดการเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนและแนวคำตอบไว้ให้ เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง
6. วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ( Total Physical Response Method ) แนวการสอนแบบนี้ให้ความสำคัญต่อการฟังเพื่อความเข้าใจ
เมื่อผู้ฟังเข้าใจเรื่องที่ฟังอยู่และสามารถปฏิบัติตามได้ก็จะช่วยให้จำได้ดี
ลักษณะเด่น
6.1ในระยะแรกของการเรียนการสอน ผู้เรียนไม่ต้องพูด แต่เป็นเพียงผู้ฟังและทำตามครู
6.2ครูเป็นผู้กำกับพฤติกรรมของนักเรียนทั้งหมด ครูจะเป็นผู้ออกคำสั่งเอง
จนถึงระยะเวลาที่
นักเรียนสามารถพูดได้แล้ว จึงเรียนอ่านและเขียนต่อไป
6.3ภาษาที่นำมาใช้ในการสอนเน้นที่ภาษาพูด เรียนเรื่องโครงสร้างทางไวยากรณ์และคำศัพท์
มากกว่าด้านอื่นๆ โดยอิงอยู่กับประโยคำสั่ง
6.4นักเรียนจะข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจนจากการแสดงท่าทางของครู
6.5ครูทราบได้ทันทีว่านักเรียนเข้าใจหรือไม่
จากการสังเกตการปฏิบัติตามคำสั่งของนักเรียน
7. วิธีการสอนแบบอภิปราย
( Discussion Method ) เป็นวิธีการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียน
รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม
รวมพลังความคิดเพื่อพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหา หาข้อเท็จจริง
ลักษณะเด่น
7.1ฝึกให้นักเรียนกล้าแสดงออก
กล้าแสดงความคิดเห็นกล้าพูด อย่างมีเหตุผล ฝึกการเป็นผู้ฟังที่ดี
ฝึกให้เป็นคนมีระเบียบวินัย และอดทนที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
7.2ครูสร้างสถานการณ์ให้นักเรียนทำงานว่า
สมมตินักเรียนจะเข้าค่ายพักแรมเป็นเวลา
5 วัน นักเรียนจะต้องเตรียมเครื่องใช้อะไรไปบ้าง
ช่วยกันอภิปรายและสรุปผลออกมาเป็นรายงานส่งครู
เป็นต้น
8. วิธีการสอนแบบโครงการ
( Project Method ) เป็นวิธีที่สอนให้ผู้เรียนทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งที่ผู้เรียนสนใจ
หรือตามที่ครูมอบหมายให้ทำ
ลักษณะเด่น
8.1 นักเรียนจะดำเนินการอย่างอิสระ และมีอิสระในการใช้ภาษาอย่างเต็มที่
8.2ครูเป็นเพียงผู้ชี้แนะช่วยเหลือและติดตามผลงานของนักเรียนว่าดำเนินการ
ความก้าว
หน้า อุปสรรคการประเมินผลงานใดบ้าง
9. วิธีการสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์
( Community Language Learning )
ลักษณะเด่น
9.1ยึดผู้เรียนเป็นหลัก
นักเรียนแต่ละคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรม
9.2เน้นการพัฒนาความสัพพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน
และระหว่างนักเรียนด้วยกัน ทำให้ผู้เรียน
เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
9.3ครูทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านภาษาเท่านั้น
ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
9.4เน้นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร
สิ่งที่นำมาเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ การฝึกให้
ผู้เรียนใช้โครงสร้างประโยค คำศัพท์และเสียง ตามวิธีการสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์
9.5การประเมินผลการเรียนนั้นจะเป็นการทดสอบแบบบูรณาการ
โดยให้นักเรียนประเมินตนเองดูจากการเรียนรู้ของตนเอง และความก้าวหน้าของตน
10. วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร
( Communicative Approach ) จากข้อเท็จจริงพบว่าถึงแม้นักเรียน
จะเรียนรู้โครงสร้างของภาษามาแล้วเป็นอย่างดี
แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้หรือสื่อสารได้ดีนัก ด้วยเหตุผลนี้
นักภาษาศาสตร์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนภาษาต่างประเทศ
ได้เสนอแนวการสอนแบบใหม่ คือ การสอนเพื่อการสื่อสาร
โดยมีความเชื่อว่าภาษาไม่ได้เป็นเพียงระบบไวยากรณ์ที่ประกอบด้วยเสียง ศัพท์
และโครงสร้างเท่านั้น แต่ภาษาคือ ระบบที่ใช้ในการสื่อสาร
ดังนั้นการสอน จึงควรให้นักเรียนสามารถนำภาษาไปใช้ในการสื่อสารได้
และจะต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมตามสภาพสังคมด้วย
เทคนิคในการจัดกิจกรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย
วิธีการสอนภาษาอังกฤษให้เด็กเล็ก
(แบบคุณพ่อคุณแม่ทำเองได้)
ภาษาอังกฤษ..นับวันนั้นสำคัญมาก ถึงกับเป็นเครื่องมือชี้วัดความสามารถในหน้าที่การงาน
เป็นทั้งประตูเปิดโอกาส และสามารถกั้นความสำเร็จของเรา (ถ้าเราไม่มีทักษะทางภาษา)
ได้เหมือนกัน!
ถ้าคุณเป็นผู้ปกครองสมัยใหม่..คุณจะเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษยิ่งกว่าเลข ยิ่งกว่าวิทย์
และคุณรู้ดีว่า..ควรเป็นสิ่งแรกๆที่ควรสอนลูกเล็กของคุณ..
เราจึงแนะนำวิธีการสอนภาษาที่ผู้ปกครองสามารถทำเองได้ที่บ้าน..ฝึกตั้งแต่เด็กๆ
เพราะสมองของเด็กเล็กเป็นเหมือนฟองน้ำ..ซึมซับหมดทุกอย่างที่เทลงไป
ถ้าเราเทของดี
มีความรู้ให้..ลูกน้อยก็จะมีความพร้อมมากกว่าเพื่อนที่อายุเท่ากันอย่างมากมาย
1. การเรียนภาษา ก็เหมือนกับการลดความอ้วน..เราต้องเปลี่ยนสภาวะแวดล้อม life style เพื่อรองรับทักษะใหม่นี้
คุณพ่อ คุณแม่ที่ภาษาไม่เก่ง..ไม่ต้องกลัว เพียงแค่เราเตรียมการเรียนรู้ภาษาให้ลูก เราจะค่อยๆเก่งขึ้นเอง!
2. สำเนียงไม่ต้องเป๊ะ!
คนที่สำเนียงดี..ต้องโตที่ต่างประเทศ เราสอนให้น้องออกเสียงคำให้ถูกต้องก็พอ..
เวลาน้องเข้าทำงาน
เค้าต้องการคนที่สื่อสารได้..ไม่ใช่คนที่ออกเสียงเหมือนฝรั่ง—ง่ายๆ คือ อย่าฝืนธรรมชาติเลย
3. ลงทุนซื้อคอร์สวีดีโอเด็กเล็กไว้เลย..
คอร์สพวกนี้ถูกสร้างมาเพื่อสอนเด็กเล็กโดยเฉพาะ..อย่าลืมนะ..ว่าเด็กฝรั่ง
ตอนเกิดมา เค้าก็ไม่รู้ภาษาเหมือนกัน เด็กทุกคนเรื่มจากศูนย์หมด.. ถ้าเราให้ลูกเล็กไปเรียนที่สถาบัน..ก็คงไม่พ้นคอร์สพวกนี้..
4. เปิดเพลงภาษาอังกฤษ สำหรับเด็กให้ฟังบ่อยๆ
อาจจะมีเพลงเฉพาะตอนเข้านอน หรือตอนแต่งตัว และสอนให้ลูกร้องตาม
5. ครูเมไม่เห็นด้วยกับการพูดคำไทย
แล้วแปลเป็นอังกฤษ..เพราะมันจะฝึกการแปลภาษาสองครั้ง
ซึ่งเป็นการฝึกแบบไม่ใช่ธรรมชาติ เมแนะนำให้ผู้ปกครอง
ช่วยลูกเล็กให้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งของแทนคำพูด
เช่น ชี้เก้าอี้..
อย่าพูดว่า “Chair เก้าอี้” แต่ให้พูดแค่
chair แล้วให้สมองของน้องทำความเข้าใจแทน
เวลาน้องเห็นเก้าอี้..น้องจะได้นึกถึง “chair” ไม่ใช่ .”chair เก้าอี้”
6. . เวลาดูหนัง..ให้ดู Soundtrack ถึงแม้ว่าน้องอาจจะอ่าน แต่อย่างน้อย
น้องจะได้ฟัง
7. ซื้อหนังสือ
หรือแม็กกาซีนที่น้องชอบ แต่เป็นภาษาอังกฤษ ทุกอย่างที่เด็กทำมาจากความชอบ
น้องชอบอะไร..ส่งเสริม..แต่ต้องเป็นภาษาอังกฤษ
8. ห้ามสั่งคำศัพท์ให้ท่อง..ท่องไม่ได้โดนตี
หรืออดขนม เพราะมันจะเป็นการสร้างทัศนคติที่ไม่ดีต่อภาษาจนน้องโตเป็นผู้ใหญ่เลยนะ
จุดประสงค์ของเราคือให้น้องรู้สึกสนุกกับภาษาอังกฤษ
เห็นหนังสือ หรือได้ยินภาษาอังกฤษแล้วจะไม่กลัว ไม่กังวล
แต่รู้สึกคุ้นเคยแทน ทีละนิดๆ
น้องจะเริ่มสะสมนิสัยการรักภาษา
แล้วพอเข้าเรียน..ภาษาจะเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับเขาไปอย่างสิ้นเชิง..
อ้างอิง